สสว.เผยเอสเอ็มอีสนใจเข้าร่วมโครงการกองทุนพลิกฟื้น (Turnaround) วงเงิน 1,000 ล้านบาท ทะลุหมื่นราย ผ่านคัดเลือกกว่า 4 พันราย โดยมี 4 รายแรกได้รับเงินแล้วมูลค่า 2.2 ล้านบาท มั่นใจภายในปีนี้อนุมัติได้อย่างต่ำ 500 ราย เชื่อรัฐบาลพร้อมใส่เงินเพิ่มมาสนับสนุนหากเห็นผลสำเร็จ ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่น SMEs เดือน ส.ค. 59 ลดลงอยู่ที่ระดับ 93.6 ปัจจัยจากช่วง Low Season ท่องเที่ยวและบริการชะลอ ส่วน GDP SME ครึ่งปีแรกโตร้อยละ 5.0
นางสาลินี วังตาล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยความคืบหน้าโครงการกองทุนพลิกฟื้น (Turnaround) วงเงิน 1,000 ล้านบาท โดยให้กู้ปลอดดอกเบี้ย 7 ปี เพื่อช่วยเหลือเอสเอ็มอีที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่ง สสว. ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (มทร.) และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2559 ว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการสมัครเข้าร่วมโครงการ 11,300 ราย และผ่านการวิเคราะห์ในเชิงลึกพบว่าเอสเอ็มอีที่มีศักยภาพสามารถฟื้นฟูกิจการได้และมีสถานะเป็นนิติบุคคลมีประมาณ 4,000 ราย ซึ่ง สสว.ได้ประสานงานเพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้กับธนาคารเจ้าหนี้เดิมไปแล้วจำนวน 3,000 ราย เอสเอ็มอีกลุ่มนี้สามารถยื่นขอกู้เงินโครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อมเพื่อนำมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนได้
ทั้งนี้ ข้อมูลเมื่อวันที่ 20 กันยายน 2559 คณะทำงานกลั่นกรองพิจารณาการให้กู้ยืมเงินจากกองเงินทุนพลิกฟื้นฯ เห็นชอบให้อนุมัติเงินกู้แก่เอสเอ็มอี จำนวน 4 รายแรก วงเงินกู้รวม 2.22 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้แก่ บจก.ชัยนาคินทร์ 5 แสนบาท บจก.มนต์ลักษณ์ กรุ๊ป 6 แสนบาท บจก.อารากอน เดคคอร์เรชั่น ซัพพลาย 1 ล้านบาท และ บจก.อินทร์บุรีเกษตรไทย 1.2 แสนบาท
นางสาลินีกล่าวว่า แม้ว่าตอนนี้การอนุมัติเงินจะมีจำนวน 4 ราย เนื่องจากขั้นตอนต่างๆ เป็นไปตามเงื่อนไขของสถาบันการเงิน แต่ได้พูดคุยกับสมาคมธนาคารไทยแล้วให้มีการปรับเงื่อนไขให้ดำเนินการได้รวดเร็วยิ่งขึ้น เชื่อว่าระยะต่อไปเอสเอ็มอีที่ผ่านการคัดเลือกจะสามารถได้รับอนุมัติเงินเร็วขึ้นและจำนวนรายมากยิ่งขึ้นตามไปด้วย คาดภายในไตรมาสที่ 4 ปี 2559 สามารถช่วยปรับแผนธุรกิจ SMEs และให้กู้ได้ไม่ต่ำกว่า 500 ราย
“เมื่อได้รับเงินกู้แล้ว ผู้ประกอบการจะต้องรายงานผลการประกอบกิจการที่สำคัญ เช่น ยอดขายต่อศูนย์ OSS ของ สสว.เป็นประจำทุกเดือน เพื่อติดตามดูแลให้บรรลุวัตถุประสงค์หลักในการให้ความช่วยเหลือ นั่นคือ SME สามารถฟื้นกิจการได้อย่างยั่งยืน” นางสาลีนีกล่าว และเผยต่อว่า
สสว. และภาคีจะพยายามเร่งการปล่อยกู้โดยกองทุนพลิกฟื้นให้เสร็จสิ้นภายในไตรมาสแรกของปี 2560 SME Rescue Center ได้ส่งรายชื่อผู้ประกอบการที่ขอรับการช่วยเหลือทางการเงินมาเข้าร่วมโครงการแล้ว 300 ราย SMEs ที่ยื่นขอรับการฟื้นฟูกิจการ ตามกฎหมายฟื้นฟูกิจการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม และเมื่อศาลได้ให้ความเห็นชอบในแผนฟื้นฟูแล้ว ก็สามารถนำเสนอเข้าโครงการเงินทุนพลิกฟื้นวิสาหกิจขนาดย่อมได้เช่นกัน
ทั้งนี้ วงเงินจากกองทุนดังกล่าวจำนวน 1,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะสามารถนำปล่อยให้เอสเอ็มอีที่ผ่านโครงการนี้ได้อย่างน้อย 1,000 รายขึ้นไป และในกรณีวงเงินยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของเอสเอ็มอี ยังมีกองทุนช่วยเอสเอ็มอีจากกระทรวงการคลังรองรับอีก 2,000 ล้านบาท และหากยังไม่เพียงพอ เชื่อว่ารัฐบาลจะอนุมัติให้เพิ่มเติม เพราะเห็นความสำเร็จและความจำเป็นในการช่วยเหลือตามโมเดลนี้
ผอ.สสว.เผยด้วยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการภาคการค้าและบริการ ในเดือนสิงหาคม 2559 อยู่ที่ระดับ 93.6 ลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อนที่ระดับ 94.8 โดยที่ดัชนีคาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้ายังทรงตัวเท่าเดิมคือที่ระดับ 101.8 เนื่องจากในเดือนสิงหาคมนั้นกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวซึ่งเป็นตัวนำมีรายได้ลดลงจากการเป็น Low Season ทำให้ดัชนีลดลงในกลุ่มธุรกิจการท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร และการขนส่ง (มวลชน) ในขณะที่ภาคบริการอื่นๆ ยังคงมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มธุรกิจการขนส่งสินค้า การก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ บริการสุขภาพและความงาม ส่วนภาคการค้าส่งและค้าปลีกนั้น ดัชนีความเชื่อมั่นลดลงเล็กน้อย เนื่องจากการระมัดระวังในเรื่องการใช้จ่ายของผู้บริโภค
ทั้งนี้ จากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า สัดส่วนสินเชื่อค้างชำระเกิน 3 เดือน (NPL) ของ SME ณ เดือนกรกฎาคม 2559 อยู่ที่ 4% ของยอดสินเชื่อ เพิ่มขึ้นจาก 3.7% ในไตรมาสแรกของปีนี้ สสว.ได้ติดตามสถานการณ์ในภาพรวมของ SMEs แล้ว เห็นว่าในครึ่งแรกปี 2559 SMEs ยังสามารถเติบโตได้ในอัตราร้อยละ 5.0 สูงกว่าอัตราการเติบโตร้อยละ 3.5 ของประเทศโดยรวม GDP SME มีมูลค่า 1.45 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42 ต่อ GDP รวมของประเทศ แต่อัตราการเติบโตของ SME ในภาคธุรกิจต่างๆ มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก กล่าวคือ ภาคการค้า และภาคการบริการสามารถเติบโตได้ดี ทั้งภาคการท่องเที่ยว (14.3%) การก่อสร้าง (9.3%) ธุรกิจบริการส่วนบุคคล (9.7%) ส่วนในภาคอุตสาหกรรมนั้น
“แม้จะปรับตัวดีขึ้นกว่าปีก่อนหน้าเล็กน้อย แต่การขยายตัวก็ยังจัดว่าอยู่ในอัตราที่ต่ำคือ 0.9% ตามภาวะเศรษฐกิจโลกและความต้องการที่ลดลงในตลาดต่างประเทศ รวมทั้งมีการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านในบางอุตสาหกรรม แต่การผลิตในบางสาขาก็ยังเติบโตได้ดี ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมที่ยังเติบโตได้นั้น คือกลุ่มที่ใช้นวัตกรรม เทคโนโลยีหรือสร้างสรรค์ ได้แก่ การผลิตเครื่องมือแพทย์ เฟอร์นิเจอร์ไม้และของทำด้วยไม้ และอุตสาหกรรมอาหาร”
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ดังกล่าว หาก GDP รวมของประเทศในปีนี้เติบโตประมาณร้อยละ 3-3.5 คาดการณ์ GDP SME ทั้งปีนี้คาดจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 5.0 ขึ้นไป
สำหรับมูลค่าการส่งออกของ SME ในช่วง 7 เดือนแรกของปี 2559 (มกราคม-กรกฎาคม 2559) มีมูลค่า 1,302,707 ล้านบาท หรือ 36,822.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.2 เมื่อคิดเป็นเงินบาท และร้อยละ 8.2 เมื่อคิดเป็นดอลลาร์สหรัฐ ดีกว่าภาวะการส่งออกโดยรวมของประเทศ เพราะสินค้าที่ SME เป็นผู้ส่งออกได้รับความนิยมจากตลาด ASEAN+6 เช่น ธัญพืช ผลไม้ สินค้าแฟชั่น เครื่องประดับ สมุนไพร และอาหารแปรรูป เป็นต้น
นางสาลินีกล่าวด้วยว่า นอกเหนือจากความช่วยเหลือด้านการเงินแล้ว สสว.ยังช่วยเหลือเอสเอ็มอีด้านตลาดด้วย เพื่อให้ผู้ประกอบการมีรายได้มาเสริมสภาพคล่องธุรกิจ ทั้งเอสเอ็มอีกลุ่มทั่วไป (Regular) และ Turn Around โดยประสานความร่วมมือธุรกิจเอกชนขนาดใหญ่ในการหาสถานที่จัดจำหน่ายสินค้าให้กับ SMEs โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายในลักษณะพี่ช่วยน้อง ตามนโยบายประชารัฐ ได้แก่ 1. ห้าง Future Park รังสิต ชั้น 3 Zone Feel Fit ตั้งแต่เดือน ต.ค. 59 2. Fly now outlet จ.เพชรบุรี Outlet เริ่มตั้งแต่เดือน พ.ย. 2559 ในศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ วันนักขัตฤกษ์ 3. สมาคมมิตรภาพไทย-กัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ วันที่ 16-22 พ.ย. คาราวานสินค้าประมาณ 200 ราย และ 4. ห้าง MBK รอบๆ ห้าง MBK พื้นที่ 100-200 บูท ในเดือน ธ.ค. 59
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *
