กพร.คิดค้นเทคโนโลยีการรีไซเคิลทองคำบริสุทธิ์จากขยะอิเล็กทรอนิกส์แบบไร้สารไซยาไนด์ หวังเป็นทางเลือกผู้ประกอบการ ชูลดต้นทุนปฏิบัติการ ลดระยะเวลาในการสกัด แถมเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงาน เชื่อช่วยลดใช้สารไซยาไนด์ไม่น้อยกว่า 50%
นายชาติ หงส์เทียมจันทร์ อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ เปิดเผยว่า ไซยาไนด์เป็นสารเคมีที่ใช้ในหลายอุตสาหกรรม โดยแต่ละปีทั่วโลกมีการผลิตไซยาไนด์ไม่น้อยกว่า 1.1 ล้านตัน ซึ่งถูกใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น การผลิตพลาสติก ไนลอน กาว สารทนไฟ เครื่องสำอาง ยารักษาโรค และมากกว่าร้อยละ 6 ถูกใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตโลหะทองคำ โดยใช้เป็นสารในการสกัดทองคำจากสินแร่และขยะหรือของเสียที่มีทองคำเป็นองค์ประกอบ เนื่องจากไซยาไนด์เป็นสารเคมีที่มีประสิทธิภาพในการละลายทอง และมีต้นทุนที่ต่ำ แต่อย่างไรก็ตาม ไซยาไนด์ก็เป็นสารเคมีที่มีความเป็นพิษสูงแบบเฉียบพลัน ฉะนั้นผู้ประกอบการที่ใช้สารดังกล่าวในกระบวนการผลิตจำเป็นต้องมีการจัดการที่ดี ตั้งแต่กระบวนการขนย้าย การใช้ในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดของเสียที่มีไซยาไนด์ปนเปื้อนน้อยที่สุด ไปจนถึงการกำจัดของเสียที่เกิดจากกระบวนการผลิตอย่างเป็นระบบและมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้ เมื่อไซยาไนด์มีคุณสมบัติในการละลายโลหะมีค่าจากสินแร่ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงพบการใช้สารไซยาไนด์ในอุตสาหกรรมรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือในโรงงานประเภท 106 ที่รับชิ้นส่วนขยะอิเล็กทรอนิกส์เพื่อสกัดเอาโลหะมีค่า เช่น ทองคำ เงิน เป็นต้น ซึ่งจะพบมากในชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ซีพียู แรม แผ่นวงจรและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์โทรศัพท์มือถือ โดยคาดว่ากว่าร้อยละ 90 ของโรงงานประเภทดังกล่าวใช้สารไซยาไนด์ในกระบวนการรีไซเคิล ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนโรงงานประเภทดังกล่าวกว่า 20 ราย ส่งผลให้ปริมาณการใช้ไซยาไนด์ในอุตสาหกรรมดังกล่าวต่อปีสูงถึง 1,500 ตัน
โดยคาดว่าจะมีปริมาณที่สูงขึ้นตามปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มปริมาณขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ล่าสุด กพร.ได้จัดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการหัวข้อ "เทคโนโลยีการรีไซเคิลทองคำบริสุทธิ์จากขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ใช้สารไซยาไนด์" เพื่อเป็นทางเลือกหนึ่งให้แก่ผู้ประกอบการโรงงานประเภท 106 เนื่องจากผลลัพธ์ที่ได้มีคุณภาพและความบริสุทธิ์ของทองคำเท่าเทียมกับการใช้สารเคมีอันตราย แต่มีความสะดวกและปลอดภัยมากกว่า ซึ่ง กพร.ได้มุ่งมั่นในการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวให้สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้ประกอบการ ทั้งลดต้นทุนการปฏิบัติการ ลดระยะเวลาในการสกัด ตลอดจนพัฒนาให้เทคโนโลยีดังกล่าวเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและปลอดภัยต่อผู้ปฏิบัติงานสูงสุด เพื่อกระตุ้นให้ผู้ประกอบการลดใช้สารไซยาไนด์ ซึ่งเชื่อมั่นว่าหากมีการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในกระบวนการรีไซเคิลขยะอิเล็กทรอนิกส์จะช่วยลดการใช้สารไซยาไนด์ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงานและสิ่งแวดล้อมได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ตลอดจนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย ที่ปัจจุบันมีสูงถึง 376,801 ตัน เป็นปริมาณรวมจากซากผลิตภัณฑ์เพียง 8 ชนิด ได้แก่ โทรทัศน์ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า คอมพิวเตอร์ เครื่องเล่นวีซีดี/ดีวีดี โทรศัพท์มือถือ และกล้องถ่ายรูปดิจิตอล ซึ่งยังไม่รวมขยะอิเล็กทรอนิกส์ประเภทเครื่องจักรขนาดใหญ่จากโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามความต้องการใช้งานของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติงานรีไซเคิลทองคำจากขยะอิเล็กทรอนิกส์ดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลหรือให้คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอย่างใกล้ชิด เนื่องจากสารเคมีบางชนิดต้องใช้ในปริมาณที่เหมาะสม และใช้อย่างถูกวิธี โดยชิ้นส่วนขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่ผ่านกระบวนการลอกทองแล้วสามารถนำไปหลอมถลุงเป็นโลหะผสม หรือนำไปจำหน่ายให้ผู้รับซื้อ และห้ามทิ้งหรือปล่อยน้ำยาลอกทองที่ใช้แล้วลงสู่สิ่งแวดล้อมโดยไม่ผ่านการบำบัดอย่างถูกวิธีโดยเด็ดขาด หากมีปริมาณมากควรส่งให้ผู้ประกอบการที่รับกำจัดหรือบำบัดของเสียดังกล่าวเท่านั้น
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *