xs
xsm
sm
md
lg

CMMU ชี้ทางรอด 3 GEN ธุรกิจไทย ปรับตัวให้ทันโลกแห่งนวัตกรรม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

ดร. ภูมิพร ธรรมสถิตย์เดช ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU)  และผู้อำนวยการศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ มหาวิทยาลัยมหิดล
วิทยาลัยการจัดการ ม.มหิดลเผยทิศทางดำเนินธุรกิจแบ่งเป็น 3 ยุค ได้แก่ แฟมิลีบิสิเนส ยุคเอสเอ็มอี และสตาร์ทอัพ ชี้จุดอ่อนจุดแข็งในแต่ละยุค พร้อมแนะทางรอดการดำเนินธุรกิจยุคปัจจุบันต้องปรับตัวเท่าทันภาวะโลกที่มุ่งสู่การสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยี

ดร.ภูมิพร ธรรมสถิตย์เดช ผู้ช่วยคณบดีฝ่ายสื่อสารองค์กร วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) และผู้อำนวยการศูนย์บ่มเพาะธุรกิจ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า รูปแบบการทำธุรกิจปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน โดยภายในช่วงเวลาประมาณ 100 ปีรูปแบบธุรกิจได้เปลี่ยนไปตลอดเวลา และอาจแบ่งเป็น 3 ยุคใหญ่ๆ คือ 1. ยุคแฟมิลีบิสิเนส ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจ 2. ยุคเอสเอ็มอี ที่อุตสาหกรรมได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในภาคการผลิตและบริการ และ 3. ยุคสตาร์ทอัพ ที่เทคโนโลยีกลายเป็นตัววัดผลที่สำคัญที่สุดในการแข่งขันในตลาด โดยรูปแบบธุรกิจในแต่ละยุคมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

- แฟมิลีบิสิเนส (Family Business) รูปแบบธุรกิจที่เก่าแก่ที่สุดและมีความซับซ้อนน้อยที่สุด มีทิศทางการดำเนินงานขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคนในครอบครัว เป็นกิจการแบบส่งต่อรุ่นต่อรุ่น บริหารงานแบบเรียบง่ายไม่ได้มีระบบที่ซับซ้อน สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว โดยแฟมิลีบิสิเนสเริ่มต้นในประเทศไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เปิดประเทศ และเกิดการค้าขายแบบ “ซื้อมา-ขายไป” การเป็นนายหน้าขายสินค้า และต่อมามีธุรกิจประเภทบริการเพิ่มเติมเข้ามาตามลำดับ

- เอสเอ็มอี (SMEs) รูปแบบธุรกิจแบบ “ซื้อมาเพื่อทำการผลิต แล้วจึงจำหน่าย” โดยตัวแปรสำคัญที่ทำให้ธุรกิจประเภทเอสเอ็มอีมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นคือ การพัฒนาของอุตสาหกรรมและเครื่องจักรต่างๆ โดยในประเทศไทยเอสเอ็มอีได้เริ่มมีบทบาทในภาคเศรษฐกิจมากขึ้นตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 2530 ที่ต่างประเทศได้เข้ามาลงทุนกับภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตและบริการได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งในปัจจุบันที่มีธุรกิจเอสเอ็มอีกว่า 200,000 รายทั่วประเทศ

- สตาร์ทอัพ (StartUp) รูปแบบธุรกิจเกิดใหม่ที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิตอลเป็นส่วนประกอบหลักของสินค้าและบริการ เป็นธุรกิจที่เริ่มต้นได้ง่ายเพราะใช้ต้นทุนต่ำ ใช้จุดเด่นในด้านความคิดสร้างสรรค์เป็นจุดขายเพื่อดึงดูดให้นักลงทุนมาร่วมลงทุนด้วย ธุรกิจสตาร์ทอัพจึงสามารถเติบโตได้แบบก้าวกระโดด และสร้างมูลค่าได้สูงด้วยการใช้ต้นทุนเริ่มต้นต่ำ สตาร์ทอัพเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยตั้งแต่ช่วง พ.ศ. 2555 และในปัจจุบันมีจำนวนธุรกิจสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จอยู่ประมาณ 500-1,000 ราย เนื่องจากโอกาสประสบความสำเร็จของสตาร์ทอัพที่จะได้รับการลงทุนมีเพียงไม่ถึง 10%

ดร.ภูมิพรกล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากรูปแบบธุรกิจในแต่ละยุคมีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก ทำให้ธุรกิจแต่ละรูปแบบเจอปัญหาและอุปสรรคที่แตกต่างกันออกไป โดยสำหรับแฟมิลีบิสิเนสนั้นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดคือ “ปัจจัยภายใน” ที่อาจทำให้แฟมิลีบิสิเนสไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในยุคปัจจุบัน เพราะตลาดในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลง และสถานการณ์ของคู่แข่งที่รุนแรงและเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับการพัฒนาธุรกิจในปัจจุบันมักมีเรื่องของนวัตกรรม และเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง อันอาจนำไปสู่ความคิดเห็นที่ขัดแย้งกันระหว่างผู้ทำธุรกิจรุ่นก่อน และผู้สืบทอดธุรกิจ การบริหารจัดการความสำคัญภายในจึงเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาธุรกิจแฟมิลีบิสิเนสอย่างมั่นคง โดยทางฝั่งผู้ทำธุรกิจรุ่นก่อนที่เป็นผู้ใหญ่อาจต้องเปิดรับนวัตกรรม เทคโนโลยี และแนวคิดของคนรุ่นใหม่เพื่อปรับเปลี่ยนตัวธุรกิจให้มีสีสัน เข้ากับยุคสมัย และทางด้านทายาทรุ่นใหม่ที่สืบทอดก็ต้องพยายามสร้างความเข้าใจในเรื่องแนวคิดต่างๆ และชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ ในการแข่งขันกับคู่แข่งในตลาด

ทางด้านเอสเอ็มอี อุปสรรคที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีทุกคนต้องพึงระวัง คือ ความชะล่าใจ เพราะในการแข่งขันสูงของตลาดปัจจุบัน และการได้รับความนิยมของสตาร์ทอัพ ที่หมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภค หากผู้ประกอบการเอสเอ็มอีชะล่าใจ และละเลยการสร้างสินค้าและบริการที่แปลกใหม่ มีนวัตกรรมและเทคโนโลยี จะทำให้ปรับตัวทางธุรกิจไม่ทัน

ส่วนอุปสรรคสำคัญของเหล่าสตาร์ทอัพ คือ การพัฒนาแนวคิดให้เกิดขึ้น และตอบโจทย์ผู้บริโภคได้อย่างตรงความต้องการ พร้อมกับสามารถประยุกต์เข้ากับการทำธุรกิจ (Commercialization) ได้อย่างประสบความสำเร็จ โดยการมองหาความต้องการของตลาด (Pain Point) ที่ยังขาดการตอบสนองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการดึงดูดความสนใจของผู้บริโภค ในขณะเดียวกันผู้ประกอบการต้องคิดค้นหาวิธีการทำซ้ำ (Repeat) และปรับเปลี่ยนขนาด (Scale) ที่มีประสิทธิภาพเพื่อส่งเสริมด้านการประกอบการด้วย

อย่างไรก็ตาม จะเห็นได้ว่าธุรกิจทั้ง 3 ประเภทต้องให้ความสำคัญต่อสถานการณ์โลกแห่งนวัตกรรมเทคโนโลยี คือต้องพร้อมที่จะปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยตลอด เปิดรับแนวคิดใหม่ๆ นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างเต็มประสิทธิภาพเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งมากมายในตลาด เพราะด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้ผู้คนสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้อย่างสะดวก เพียงวิเคราะห์หาแนวคิดสินค้าหรือบริการที่แปลกใหม่และตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ จากนั้นคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตที่กลายเป็นช่องทางในการกระจายแนวคิดดังกล่าวไปสู่ทั่วโลกได้แบบเรียลไทม์ (Real Time) ก็อาจทำให้เกิดความสำเร็จเพียงข้ามคืน ซึ่งแตกต่างกับการทำธุรกิจในอดีตโดยสิ้นเชิง

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *


กำลังโหลดความคิดเห็น