xs
xsm
sm
md
lg

ปลุกผู้ประกอบการรับมืออุตสาหกรรมอาหาร 4.0 ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตด้วยเทคโนโลยี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม
ปลุกผู้ประกอบการเร่งปรับตัวรับมืออุตสาหกรรม 4.0 เชื่อมโยงเทคโนโลยีเข้ากับระบบการผลิต พัฒนาบุคลากร และเก็บข้อมูล แนะภาครัฐควรสนับสนุนให้โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้า และไอซีที มีความเสถียรและใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ พบเกณฑ์เฉลี่ยอยู่ในระดับอุตสาหกรรมยุค 2.5 คาดอุตสาหกรรมอาหารอาจต้องรับศึกหนัก เพราะวัตถุดิบทางการเกษตรไม่ได้มาตรฐาน

นายยงวุฒิ เสาวพฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวในงานสัมมนาเรื่อง “เปิดแนวคิด Industry 4.0 เรียนรู้ รับ รุก อุตสาหกรรมอาหารไทย” ที่สถาบันอาหารจัดขึ้นว่า อุตสาหกรรม 4.0 จะมีส่วนช่วยยกระดับผลิตภาพให้แก่ภาคอุตสาหกรรมอาหารของไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ดียิ่งขึ้น

ทั้งนี้ พบว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมเข้าสู่ 4.0 จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ราว 3-5% ขณะที่ต้นทุนการซ่อมบำรุงเครื่องจักรจะลดลง 10-40% การพยากรณ์การผลิตมีความแม่นยำมากขึ้นมากกว่า 85% ระยะเวลาในการนำสินค้าเข้าสู่ตลาดลดลง 20-50% ต้นทุนในการถือครองสต็อคลดลง 20-50% ประสิทธิภาพแรงงานทักษะเพิ่มขึ้น 45-55% อัตราการหยุดทำงานของเครื่องจักรลดลง 30-50% และต้นทุนในการประกันคุณภาพลดลง 10-20%

ดร.กมลพรรณ แสงมหาชัย ผู้อำนวยการศูนย์การจัดการพลังงานและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า แนวคิดอุตสาหกรรม 4.0 คือ การทำให้กระบวนการผลิตสินค้าเชื่อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล หรือแม้กระทั่งทำให้ตัวสินค้าเองเชื่อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล ในรูปแบบ “Internet of Things” (IoT) นั้น คาดกันว่าในปี 2568 Internet of Things ที่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมทุกประเภททั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 1.2-3.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีสัดส่วน 60% อยู่ในประเทศพัฒนาแล้ว และอีก 40% ในประเทศกำลังพัฒนา เฉพาะในอาเซียนจะมีการนำ Internet of things และเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้ ซึ่งจะสามารถทำกำไรให้กับภาคอุตสาหกรรมได้ราว 25-45 พันล้านเหรียญ เนื่องจากสามารถนำข้อมูลที่เป็นความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าในแบบเรียลไทม์ (real time) มาวิเคราะห์ และวางแผนการผลิตให้เหมาะสม เป็นการลดต้นทุน และลดความสูญเสียจากการผลิตได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันก็ช่วยลดการใช้พลังงานได้ 10-20% และลดการใช้แรงงานคนได้ 10-25%

“ยืนยันว่าอุตสาหกรรม 4.0 ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน ในหลายๆ ประเทศทำแล้ว ทำได้จริง แม้จะยังไม่ถึงขั้นที่จะเป็น Smart Factory ในทุกขั้นตอนการผลิต 100% แต่เป้าหมายของการเป็นโรงงานในยุค 4.0 ก็คือ มีการผลิตแบบอัตโนมัติอย่างชาญฉลาด โดยมีข้อมูลเป็นฐานรองรับ มีการส่งข้อมูลเชื่อมต่อกันตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ สามารถนำข้อมูลมาวิเคราะห์ เพื่อทราบเป้าหมายการผลิตที่ชัดเจน ขณะนี้จีนประกาศจะทำ Smart Factory ให้ได้ 30,000 โรง ภายใน 5 ปี หวังเป็นแหล่งผลิตสินค้าต้นทุนต่ำและมีสินค้าหลากหลายมากที่สุดในโลก ขณะที่เกาหลีใต้ กำลังเดินหน้าทำ Smart Factory ให้ได้เป้าหมาย 10,000 โรงภายใน 5 ปีเช่นกัน”
บนเวทีสัมมนา
ดร.กมลพรรณกล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม การนำอุตสาหกรรมของไทยเข้าสู่ยุค 4.0 นั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้าที่มีความเสถียร โรงงานต้องมีพลังงานไฟฟ้าสำรองเพียงพอ หากมีปัญหาไฟฟ้ากระตุกหรือดับจะกลายเป็นอุปสรรคทันที นอกจากนี้ต้องมีการเตรียมความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีที อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงให้ครอบคลุมและรองรับการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรงงานต้องมีการจัดการศูนย์ข้อมูล ประมวลผล วิเคราะห์ และมีระบบรักษาความปลอดภัยสูง จากนั้นจึงจะเข้าสู่กระบวนการออกแบบโรงงาน การใช้เครื่องจักร และระบบการผลิตอันชาญฉลาดต่อไป

นายจีระศักดิ์ คำสุริย์ ผู้เชี่ยวชาญ ฝ่ายวิจัยและข้อมูล สถาบันอาหาร เผยผลการศึกษาวิจัย “เตรียมความพร้อมอุตสาหกรรมอาหารสู่ Industry 4.0” เพื่อทราบระดับการพัฒนาอุตสาหกรรมอาหารของไทยว่าอยู่ในยุคใด และเพื่อประเมินความพร้อมในการก้าวไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 โดยศึกษาเฉพาะอุตสาหกรรมปลาทูน่า ปลาซาร์ดีน สับปะรด และข้าวโพดหวานกระป๋อง จากองค์ประกอบในการชี้วัดคุณลักษณะด้านการผลิต อาทิ ประเภทเครื่องจักร/ระบบการผลิต, ระบบการควบคุมและสั่งงาน, พลังงานที่ใช้, ลักษณะการควบคุม, จำนวนแรงงาน, ของเสียจากการผลิต เป็นต้น และคุณลักษณะของสินค้า เช่น รูปแบบสินค้า, ปริมาณ, ความหลากหลาย, คุณภาพ, กลุ่มผู้บริโภค เป็นต้น พบว่ามีเกณฑ์เฉลี่ยอยู่ในระดับอุตสาหกรรมยุค 2.5

“อุตสาหกรรมอาหารมีความแตกต่างจากอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยเฉพาะโรงงานแปรรูปอาหารที่ต้องใช้วัตถุดิบทางการเกษตรซึ่งมักอยู่นอกเหนือการควบคุม ทั้งขนาด สี กลิ่น รสชาติ มีรูปร่างลักษณะไม่สม่ำเสมอ เราไม่สามารถใช้ระบบอัตโนมัติได้ทุกขั้นตอน การแปรรูปวัตถุดิบบางประเภทยังต้องอาศัยความชำนาญพึ่งพาแรงงานคน การก้าวกระโดดจากยุค 2.5 ไปสู่ 4.0 จำเป็นต้องศึกษาความคุ้มค่าในการลงทุนเพื่อเข้าถึงเครื่องจักรและเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม อาจต้องพิจารณาระบบการผลิตในแต่ละประเภทผลิตภัณฑ์ ซึ่งเท่าที่ทราบปัจจุบันโรงงานผลิตเครื่องดื่มขนาดใหญ่ของไทยส่วนใหญ่มีระบบการผลิตอยู่ในยุค 3.0 ซึ่งมีศักยภาพและความพร้อมจะก้าวเข้าสู่ยุค 4.0 ได้ทันที หากสามารถเข้าถึงข้อมูลจากผู้บริโภคแบบเรียลไทม์”

จากการศึกษาพบว่า ปัญหาของผู้ประกอบการในการพัฒนาไปสู่อุตสาหกรรม 4.0 แบ่งเป็น 5 ด้านได้แก่ ด้านเทคโนโลยี พบว่าเครื่องจักรเก่าและล้าสมัย, การเข้าไม่ถึงเทคโนโลยี/เครื่องจักร ด้านบุคลากรพบว่าบุคลากรในสายงานการผลิตขาดความรู้/ความชำนาญด้านเทคนิค, ขาดแคลนบุคลากร ผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาและต่อยอดเทคโนโลยีด้านการผลิต ด้านองค์ความรู้พบว่า ผู้บริหารโรงงานไม่มีองค์ความรู้ในระบบ ทำให้เป็นอุปสรรคในการต่อยอดเทคโนโลยี ด้านเงินทุน พบว่าขาดแคลนเงินทุนในการปรับปรุงประสิทธิภาพโรงงาน ด้านการจัดการ พบว่าผู้บริหารมองไม่เห็นถึงความคุ้มค่าและความจำเป็นในการพัฒนาไปเป็น 4.0 และการผลิตในบางขั้นตอนไม่สามารถใช้เครื่องจักรได้

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *


กำลังโหลดความคิดเห็น