เมื่อกระแสบิ๊กไบค์มาแรง ก็ย่อมส่งผลให้อุปกรณ์สำหรับการขับขี่ยานพาหนะนี้เติบโตตามไปด้วย และยิ่งเลือกจังหวะเวลาเข้าสู่ธุรกิจได้ถูกต้อง มีหรือที่จะไปไม่รอด อย่าง “หมวกกันน็อกเพนต์” แบรนด์ O-Skull ที่เจ้าของไอเดียตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่ทำมานานกว่า 10 ปี เลือกเป็นนายตัวเองกับการทำงานศิลปะที่ตนเองรัก
อันทพัธฏ์ พลเยี่ยม หรือคุณโอ เจ้าของธุรกิจหมวกกันน็อกเพนต์ ย้อนที่มาธุรกิจนี้ว่า เขาเรียนจบจากคณะศิลปกรรม สาขาทัศนศิลป์ จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ โดยชื่นชอบงานศิลปะมาตั้งแต่เด็ก และเข้าทำงานในตำแหน่งครีเอทีฟของบริษัทออร์แกไนซ์แห่งหนึ่งมานานกว่า 10 ปี ซึ่งช่วงทำงานประจำได้ลองขายหมวกกันน็อกกับเพื่อน
โดยช่วงแรกเขายอมรับว่าไม่รู้จะนำอะไรมาขาย แต่ลึกๆ แล้วอยากขายอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับมอเตอร์ไซค์ จึงพยายามหาแหล่งผลิตคุณภาพ กระทั่งไปเจอโรงงานหนึ่งที่เน้นวัตถุดิบคุณภาพ มีให้เลือกหลากหลาย และมีมาตรฐาน มอก.เขาจึงรับมาจำหน่าย พร้อมต่อยอดด้วยงานเพนต์ ออกแบบลวดลายเอง ไม่ซ้ำใคร ส่งผลให้ชาวต่างชาติ ลูกค้ากลุ่มบิ๊กไบค์ชื่นชอบและกลายเป็นลูกค้าหลัก รองลงมาเป็นกลุ่มวัยรุ่น ที่ให้การตอบรับดีไม่แพ้กัน ทำให้ยอดขายจาก 8-10 ใบ กลายเป็น 100 ใบในเวลาอันรวดเร็ว
'O-Skull' เป็นชื่อแบรนด์ที่เขาตั้งขึ้น ผสมผสานชื่อเล่นตัวเองและความหมายของ Skull หรือหัวกะโหลก โดยได้รับอิทธิพลมาจากกลุ่ม Classic Motorbike ซึ่งมีเสน่ห์ในตัวเอง และเมื่อนำมาเป็นลวดลายบนหมวกกันน็อกก็ดูดีไปอีกแบบ ปัจจุบันเขาตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาได้ประมาณ 1 ปี ซึ่งเป็นช่วงที่กระแสบิ๊กไบค์บูม และคิดว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการลุยธุรกิจนี้อย่างเต็มตัว ซึ่งหมวกของ O-Skull อยู่ในกลุ่มหมวกที่เรียกว่า “Open Face Classic” เจาะกลุ่มมอเตอร์ไซค์ประเภทคลาสสิก ซึ่งกระแสกำลังมาค่ายรถยักษ์ใหญ่เริ่มหันมาผลิตมากขึ้น
สำหรับความต่างที่หมวกกันน็อก O-Skull สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง คือ เขามีให้เลือกทั้งงานสั่งผลิตตามที่ลูกค้าต้องการ (Custom) และงานสติกเกอร์ ทำให้ราคามีความหลากหลาย เจาะลูกค้าได้ทุกกลุ่ม โดยงาน Custom ลวดลายจะเป็นเส้นปากกาด้วยสีอะคริลิก และสีพ่นรถยนต์ทำให้มีความเงางามและดูเป็นสินค้าพรีเมียมขึ้น ส่วนงานสติกเกอร์จะเป็นสินค้าขายดี เพราะไม่หลุดล่อนง่าย ทนทาน และราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับงานเพนต์
“ลวดลายของหมวกกันน็อก O-Skull ทั้ง 2 แบบ จะเน้นไปที่ลายหัวกะโหลกและกราฟิก ซึ่งลูกค้าชื่นชอบ ส่วนสติกเกอร์ก็จะออกแบบเอง ผ่านขั้นตอนการติดที่คงทนไม่หลุดลอกง่าย นอกจากนี้เรายังมีหมวกที่ถูกออกแบบจากโรงงานโดยตรง ไม่มีการมาตกแต่งลวดลายเพิ่ม ขายในราคาเพียง 450 บาท ส่วนหมวกสติกเกอร์และเพนต์ เริ่มต้นที่ 800-4,000 บาท ล่าสุดผลิตออกมากว่า 10 ลายแล้ว”
ขณะที่คุณภาพมาตรฐานของหมวกกันน็อก จะผลิตจากโรงงานในประเทศไทย มีการขึ้นรูปพลาสติก ABS ส่งผลให้มีความยืดหยุ่นสูง ไม่แตกหักง่าย มีความปลอดภัย และมีฟองน้ำชนิดหนาพิเศษรองรับอยู่ด้านใน รวมถึงยังได้รับการรับรองมาตรฐาน มอก. ดังนั้นลูกค้ามั่นใจได้ในคุณภาพเมื่อสวมใส่
“แม้เราจะดำเนินธุรกิจนี้มาได้เพียง 1 ปีเศษ แต่ก็ถือว่าได้รับการตอบรับดี ตามกระแสการขับขี่มอเตอร์ไซค์ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนี้ ขณะที่ลูกค้าชาวต่างชาติมีประมาณ 30% ได้แก่ ชาวมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฮ่องกง และแอฟริกาใต้ เป็นต้น ซึ่งเรากำลังหาตัวแทนจำหน่ายเพื่อกระจายสินค้าให้มากขึ้น ขณะที่คู่แข่งก็เริ่มมีขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่มากนัก เพราะเป็นงานที่ต้องอาศัยทักษะ ฝีมือ และใจรักเป็นสำคัญ”
ส่วนกำลังการผลิตขณะนี้อยู่ที่ 40 ชิ้น/เดือน ส่งผลรายได้ประมาณ 1 แสนบาท/เดือน และล่าสุดเขาได้เปิดสตูดิโอที่ซอยพัฒนาการ 30 จากเดิมมีหน้าร้านที่ตลาดนัดจตุจักร กรีน (ขายเฉพาะวันพฤหัสฯ-อาทิตย์) เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้ามาชมผลงานได้ทุกวัน นอกจากนี้ ภายในร้านเขายังนำอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการขับขี่มอเตอร์ไซค์มาจำหน่ายด้วย เช่น เสื้อหนัง รองเท้า อุปกรณ์ต่างๆ และต่อไปจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พร้อมออกคอลเลกชันในธีม “ยักษ์” ที่ลูกค้าก็ชื่นชอบไม่แพ้กัน
การดำเนินธุรกิจได้ถูกจังหวะเวลาถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม เพราะสุดท้ายจะกลายเป็นทางลัดที่ให้ธุรกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งคุณโอได้ฟันธงว่า ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับมอเตอร์ไซค์จะยังเติบโตได้อีกเป็นสิบปี สามารถยึดเป็นอาชีพและรายได้หลักได้เลยทีเดียว
***สนใจติดต่อ 09-4864-1625 หรือที่ Facebook: O Skull Story***
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *