รถในฝันของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน แต่เชื่อเถอะว่าถ้าลองไปถามสาวกสองล้อส่วนใหญ่ คำตอบที่ได้รับไม่มากก็น้อย ย่อมต้องมีชื่อแบรนด์ดังจากอิตาลีอย่าง “ดูคาติ” อยู่ในอับดับต้นๆ เสมอ และแน่นอนว่าผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ขณะที่ถนนหนทางทางที่เป็นดั่งสรวงสวรรค์ของนักบิดในบ้านเรา และหลายคนรู้จักกันดีสำหรับเส้นทางที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า “ทางหลวงหมายเลข 1148” เป็นถนนเชื่อมระหว่างอำเภอท่าวังผา จังหวัดน่าน และอำเภอเชียงคำ จังหวัดพะเยา โดยมีจุดขายอยู่ที่ตลอดระยะทางกว่า 115 กิโลเมตร ประกอบด้วยเส้นทางคดโค้งที่สวยงาม พร้อมสภาพผิวถนนเรียบน้องๆ พื้นแทร็ก อีกทั้งยังโอบล้อมด้วยบรรยากาศของธรรมชาติท่ามกลางผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์บนภูเขาสูงชัน
...หากมีโอกาสได้สัมผัสสักครั้งหนึ่งในชีวิต ใครบ้างจะกล้าปฏิเสธ
สองสิ่งอย่างที่ปรารถนากลายเป็นความจริงขึ้นมาได้ ในกิจกรรมใหญ่ของดูคาติไทยแลนด์ที่จัดขึ้นสองปีครั้ง ภายใต้ชื่อ “Desmo Ride 2016 Power Up by Shell Advance” ด้วยการรวมกลุ่มลูกค้าชาวดูคาทิสต้าจากทั่วประเทศไทยเกือบ 100 คัน ร่วมเดินทางไกลจากกรุงเทพฯ ถึงเชียงใหม่ เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน ผ่านเส้นทางที่เหล่าไบค์เกอร์ทุกคนใฝ่ฝัน และนับเป็นระยะทางไกลที่สุดเท่าที่ค่ายสีแดงจากอิตาลีเคยจัดมา ทั้งนี้เพื่อต้องการตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคกับความสำเร็จของแบรนด์ดูคาติในวาระการฉลองครบรอบ 90 ปีในปีนี้ด้วย
โดยหนึ่งในสมาชิกดูคาทิสต้า กวง-ธนธัส แซ่เอี้ยว บอกว่า ทริปนี้รู้ข่าวตั้งแต่กลางปีที่แล้ว และตัดสินใจจองล่วงหน้าข้ามปีก็เพราะไว้ใจมาตรฐานการจัดงานของเจ้าภาพที่ทำได้เกินร้อย โดยเฉพาะครั้งก่อนในทริปเส้นทางเขาใหญ่ที่เคยไปร่วมสัมผัสมาแล้ว ยังคงประทับใจการดูแลของทีมงานจนถึงทุกวันนี้
“อีกเหตุผลเนื่องจากรู้ว่าจะได้ไปขี่ในเส้นทาง 1148 ที่ผมยังไม่เคยมาขี่เลย เพราะอยู่ภูเก็ต ส่วนใหญ่เวลาขี่เที่ยวจะลงใต้ไปทางหาดใหญ่หรือข้ามไปมาเลเซียมากกว่า และการมาครั้งนี้ก็ไม่ผิดหวังครับ ผมขี่จากบ้านขึ้นมาที่กรุงเทพฯ เพื่อมาร่วมทริปนี้โดยเฉพาะ ถือว่าเป็นการซ้อมมือ แม้ปกติจะขี่ขึ้นมาบ่อยๆ เพราะเป็นคนที่ชอบขี่รถอยู่แล้ว” ผู้ร่วมทริปจากเกาะไข่มุกแห่งอันดามันเผยถึงแรงจูงใจและเล่าต่อว่า
“ครั้งนี้ผมเลือกขี่สแครมเบลอร์ ดูแล้วน่าจะเหมาะสม ด้วยน้ำหนักตัวรถเบา ควบคุมง่าย เวลาเข้าโค้งแคบๆ นี่สบายเลย พอมันง่ายแล้ว เราก็จะรู้สึกสนุกกับเส้นทาง สนุกกับการขับขี่มากขึ้น แม้ช่วงทางตรงอาจจะเหนื่อยหน่อย ต้องสู้กับแรงลมปะทะ เพราะเขาไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อใช้ความเร็วสูงนัก แต่พอเข้าสู่ทางโค้งก็เสร็จเรา(หัวเราะ)”
สำหรับช่วงทางตรงที่เจ้าของสแครมเบลอร์ Urban Enduro หมายความถึงคือภาพรวมการเดินทางในวันแรก ที่ส่วนใหญ่ต้องเจอลักษณะถนนเส้นทางตรงเป็นหลัก การขับขี่เป็นขบวนใช้ความเร็วเฉลี่ยประมาณ 90-140 กิโลมเตรต่อชั่วโมง ล้อหมุนจากดูคาติไทยแลนด์บนถนนวิภาวดีฯ เพื่อมุ่งหน้าสู่จังหวัดน่าน ระยะทางรวมประมาณ 700 กิโลเมตร โดยกว่าจะถึงจุดหมายต้องใช้เวลาบนสองล้อทั้งวันเกือบ 8 ชั่วโมงเลยทีเดียว
ขณะเดียวกันการต้องขับขี่เป็นเวลานานตั้งแต่เช้าจรดเย็นแบบนี้ ความเหนื่อยและเมื่อยล้าย่อมเป็นสิ่งที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การมีเพื่อนร่วมทางที่หลงใหลในสิ่งเดียวกัน ขณะจอดพักได้ทักทายและพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างเป็นกันเอง บางทีก็คล้ายยาชูกำลังที่ช่วยเติมความสดชื่นให้ร่างกายคลายความอ่อนล้าได้เป็นอย่างดี เหมือนอย่างที่ เอ็ด-ณัฐพงศ์ สว่างจิตร อีกหนึ่งสาวกดูคาทิสต้า ผู้ควบมอนสเตอร์ 796 คันงามที่เสริมของแต่งรอบคัน แสดงความคิดเห็นไว้ว่า
“ระยะทางขนาดนี้กำลังดีครับ เส้น 1148 ผมเคยแต่ขับรถยนต์มา ถ้าไม่มีเพื่อนขี่มาด้วย ยังไงก็คงไม่ขี่มอเตอร์ไซค์มาแน่นอน จริงๆ ก็ไม่รู้สึกเหนื่อยนะ เพราะก่อนหน้าเพิ่งขี่ไปไกลกว่านี้อีก แม้จะเคยมาแล้ว แต่ด้วยเส้นทางที่น่าขี่เหมาะกับสองล้อมากกว่าสี่ล้อ ได้มีผู้ร่วมทางที่ชอบดูคาติเหมือนกัน ยังไงก็ต้องตัดสินใจมาร่วมครับ”
“อย่างตัวผมเองช่วงที่เริ่มกลับมาขี่มอเตอร์ไซค์อีกครั้ง ก็มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับกลุ่มแถวลาดพร้าวซอย 101 ชื่อว่า เดสโม 101 (Desmo 101) พอได้รู้จักกันเหมือนเปิดประเทศใหม่ให้ผมเลย เพราะขี่รถพวกนี้ถ้าไม่มีเพื่อนๆ ขี่ด้วยกัน มันไม่สนุกหรอกครับ ยิ่งเป็นแบรนด์ที่เราชอบ เราศึกษาด้วยแล้ว มันยิ่งรู้สึกดีที่มีคนที่ชอบแบบเดียวกับเรา”
อย่างไรก็ตาม ในการขับขี่วันที่สองจากน่านไปเชียงใหม่ รวมระยะทางประมาณ 400 กม. เกือบมีคนพลาดไม่ได้สัมผัสเส้นทางสวรรค์นักบิด นั่นคือ ป้อม-โกญจนา สุริยเสนีย์ และฟีฟ่า-คณกฤษ สุริยเสนีย์ สองพ่อลูกที่ขี่รถไปคนละคัน แต่ต้องนั่งซ้อนท้ายกันตั้งแต่ล้อหมุนออกจากจุดสตาร์ทได้ไม่นาน
“ผมขี่มัลติสตาด้าไปครับ ส่วนลูกผมขี่สตรีทไฟต์เตอร์ พอออกจากโชว์รูมได้สักพักก่อนถึงจุดแวะเติมน้ำมันปั้มแรก รถลูกผมมีปัญหาเกี่ยวกับระบบคลัทช์ เมื่อทีมงานทราบเรื่องก็ยกขึ้นรถเซอร์วิสเลย และบอกให้ลูกมานั่งซ้อนท้ายผมแทน” คุณพ่อป้อมอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนที่ลูกฟีฟ่าจะเสริมว่า
“ตอนนั้นบอกตรงๆ ว่าใจแป้วแล้วครับ คิดว่าคงไม่ได้ขี่เส้น 1148 แน่ๆ แต่งานนี้ต้องยอมรับเลยว่าการเตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ของทีมงานสุดยอดมาก โดยเฉพาะทีมช่างเซอร์วิสเอาใจใส่ดูแลลูกค้าเต็มที่ พอรู้ว่าต้องซ่อมเขายกรถขึ้นรถตู้ เอาไปซ่อมที่จังหวัดน่าน ซึ่งกว่าจะเสร็จประมาณ 4-5 ทุ่ม ตรงนี้แหละที่ผมรู้สึกดีมากๆ เพราะในที่สุดก็ได้ขี่ในเส้นทางสมใจอยาก”
“ทริปนี้หาข้อติไม่ได้เลยครับ แม้จะเป็นครั้งแรกของผมที่ได้มาร่วมกิจกรรมกับดูคาติไทยแลนด์ ก่อนมาก็เคยได้ยินจากเพื่อนๆ ว่า มาตรฐานการจัดงานเขาสูง พอมาสัมผัสด้วยตัวเองจึงรู้ว่า ไม่ได้โม้หรือเกินจริงเลย ทุกอย่างเขาเตรียมความพร้อมไว้ให้หมดแล้ว อาหาร ที่พัก รถเซอร์วิส รถนำ ทีมงาน องค์ประกอบทุกอย่างเป๊ะจริงๆ” คุณพ่อป้อมกล่าวสรุป
หลังเสร็จสิ้นภารกิจพิชิตเส้นทางในฝัน ในคืนสุดท้ายก่อนชาวดูคาทิสต้าจะเหินฟ้าเดินทางกลับสู่เมืองหลวงด้วยเครื่องบิน โดยไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องอาชาคู่ใจที่ขี่มา เพราะมีบริการขนส่งรถกลับไปถึงกรุงเทพฯ อย่างปลอดภัยไร้กังวล ดูคาติไทยแลนด์ยังแอบจัดเซอร์ไพรส์เล็กๆ ปิดท้ายกับการนำโมเดลใหม่ Multistrada Pike Peak โฉมปี 2016 และ X Diavel ที่มีคิวเปิดตัวอย่างเป็นทางการในมอเตอร์โชว์ปลายเดือนมีนาคมนี้ มาให้เหล่าผู้ร่วมทริปได้ยลโฉมก่อนใครอีกด้วย
หากจะสรุปสิ่งที่ผู้ร่วมกิจกรรมรู้สึกและประทับใจ อาจจะแตกต่างกันออกไปในรายละเอียด แต่เชื่อว่าภาพรวมทั้งหมดน่าจะเป็นความทรงจำที่ดีในทิศทางเดียวกัน เช่นเดียวกับผมที่สัมผัสได้ถึงความสมบูรณ์แบบของทริปนี้ อันเกิดขึ้นจากเหตุผลสำคัญสามส่วนคือ คน รถ และสภาพแวดล้อม ซึ่งตรงกับองค์ประกอบสามส่วนของการขับขี่รถจักรยานยนต์อย่างครบถ้วน และดูเหมือนเป็นความบังเอิญที่ผู้จัดตั้งใจให้เกิดขึ้นจริงๆ สำหรับงานรวมตัวสาวกผู้คลั่งใคล้แบรนด์ดูคาติที่คุยกันถูกคอ การได้เสพความสนุกจากสมรรถนะอันยอดเยี่ยมของตัวรถที่ถูกใจ บนถนนที่เป็นดังสรวงสวรรค์ของนักบิดในเส้นทางหลวงหมายเลข 1148
ท้ายที่สุดอย่างที่เกริ่นไว้ตั้งแต่ตอนต้นว่า รถในฝันของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับถนนหนทางในการเดินทางแต่ละครั้งก็น่าจะสร้างความประทับใจที่แตกต่าง และแม้ว่ากิจกรรม Desmo ride 2016 อาจไม่ใช่ทริปที่ดีที่สุดของทุกคน แต่สำหรับผม ช่วงเวลา 3 วัน 2 คืน ช่างผ่านไปไวเหมือนโกหก คล้ายเวลามีความสุขขณะหลับฝัน
เพียงแต่ครั้งนี้เป็นฝันที่ลองหยิกแก้มตัวเองแล้ว...รู้สึกเจ็บ!
ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวในวงการยานยนต์ได้ที่หน้าแฟนเพจ MGR Motoring