ผู้ผลิตรองเท้าแฟชั่นสุภาพสตรี แบรนด์ ‘bee bee’ นับเป็นนักสู้ที่มุ่งมั่นปรับตัว หลังพบวิกฤตตลาดหลักค้าส่ง “สำเพ็ง” ถูกคู่แข่งรายใหม่ทั้งในและต่างประเทศตัดราคาชิงลูกค้า กระทบยอดขายตกฮวบ จำเป็นต้องฮึดสร้างแบรนด์ พร้อมชูจุดเด่นคุณภาพดีพร้อมราคาประหยัด เปิดโอกาสหาลูกค้ากลุ่มใหม่ ช่วยต่อลมหายใจให้ธุรกิจอยู่รอด
จิรพัฒน์ และกรนิกา ไชยลา ผู้ประกอบการจาก จ.กาญจนบุรี เจ้าของแบรนด์ ‘bee bee’ บุกเบิกธุรกิจเมื่อ 7 ปีที่แล้ว โดยทำรองเท้าแฟชั่นสุภาพสตรี ขายส่งให้ผู้ค้าใน “ตลาดนัดสำเพ็ง” ซึ่งจะรับซื้อไปขายส่งต่อแก่ผู้ค้าปลีกรายย่อยอีกทอดหนึ่ง
“พี่สาวของผมเปิดโรงงานรองเท้าส่งสำเพ็งอยู่แล้ว ซึ่งผมเข้าไปช่วยงานอยู่ประมาณ 2 ปี ทำให้เห็นโอกาสที่ตอนนั้นตลาดสำเพ็งต้องการสินค้ารองเท้าแฟชั่นสูงมากๆ เลยขอพี่สาวแยกออกมาทำขายเองบ้าง เบื้องต้นลงทุนแค่ประมาณ 1 แสนบาท จ้างช่างรองเท้าแถวบ้านทำตามแบบที่ต้องการ แล้วไปเสนอขายผู้ค้าที่สำเพ็ง” จิรพัฒน์ ย้อนถึงจุดเริ่มต้น
กรนิกา ผู้รับหน้าที่ออกแบบรองเท้าทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นถึงปัจจุบัน เสริมว่า แม้ตอนนั้นยังเป็นหน้าใหม่ มีความรู้ความชำนาญในการทำรองเท้าไม่มาก แต่ด้วยความต้องการของตลาดสำเพ็งที่มหาศาล ประกอบกับคู่แข่งน้อย แค่ประมาณ 10 ราย ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จอย่างสูง ถึงขั้นที่ใช้คำว่า “ทำอะไรออกมา ก็ขายหมด” ระยะเวลาแค่ 2 ปี สามารถขยายสร้างโรงงาน มีพนักงานกว่า 50 คน และเคยมียอดขายสูงถึงเดือนละ 6-7 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาฮันนีมูนของธุรกิจค่อยๆ หมดไป เพราะคู่แข่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งผู้ผลิตไทยที่เข้ามาแชร์ตลาดถึงปัจจุบันมากกว่า 50 ราย อีกทั้งสินค้าประเทศจีนเข้ามาตีตลาด อาศัยราคาถูกกว่า และกลยุทธ์ตลาดจัดเต็ม เช่น ให้เครดิตผู้ซื้อระยะยาว หรือบางรายถ้าสินค้าขายไม่หมด นำมาคืนได้ด้วย ฯลฯ ส่งผลลูกค้าหลายรายหันไปซื้อสินค้าจีน ขณะเดียวกัน ยังเกิดสงครามหั่นราคาแย่งลูกค้า จนบางครั้งแทบจะไม่เหลือกำไร
“จากที่ยอดเริ่มตกเรื่อยๆ เกือบครึ่ง เราเลยปรับตัวหันมาทำรองเท้าภายใต้แบรนด์ตัวเองว่า ‘bee bee’ โดยเปิดแผงในสำเพ็ง อยู่ถนนเยาวพานิช ซอยวานิช 1 ขายส่งรองเท้าไปถึงผู้ค้ารายย่อยโดยตรง นอกจากนั้น สร้างดีไซน์ใหม่ไม่ให้ซ้ำกับสินค้าในสำเพ็ง เน้นงานเรียบร้อย ดูดี และใส่ได้เรื่อยๆ คุณภาพดีกว่าสินค้าจีนมาก ในขณะที่ คงราคาถูกเช่นเดิม ขายส่งอยู่ที่คู่ละ 90 บาท ส่วนปลีกคู่ละ 150-200 บาท” กรนิกาเผย
เมื่อหันมาทำแบรนด์กับขายส่งเอง เจ้าของธุรกิจสาวบอกว่า สร้างโอกาสพบเจอลูกค้าใหม่ กลุ่มชาวต่างชาติที่ตระเวนหาซื้อสินค้าในย่านค้าส่งต่างๆ ของเมืองไทย โดยเฉพาะสำเพ็ง เพื่อนำกลับไปขายยังประเทศบ้านเกิด ซึ่งลูกค้ากลุ่มนี้จะนิยมและมั่นใจในสินค้า Made in Thailand ประกอบกับราคาไม่สูง ทำให้แบรนด์ ‘bee bee’ เป็นสินค้าถูกใจผู้ซื้อกลุ่มนี้ ถูกสั่งไปขายยังประเทศต่างๆ เช่น มาเลเซีย ลาว และกัมพูชา เป็นต้น จนปัจจุบันกลายเป็นตลาดหลักแทน คิดเป็นสัดส่วนรายได้กว่า 70% ส่วนขายในประเทศผ่านสำเพ็งเหลือเพียง 30% เท่านั้น
นอกจากนั้น ปรับกลยุทธ์การค้า จากเดิมทำรองเท้าเสร็จแล้วจึงนำไปขาย แต่ปัจจุบัน เปลี่ยนมาเป็นวิธีทำเฉพาะ “รองเท้าต้นแบบ” จากนั้นจึงนำสินค้าตัวอย่างไปเสนอขายแก่ลูกค้าเจ้าประจำ รวบรวมจนได้ปริมาณสั่งซื้อราว 500-600 คู่ ค่อยลงมือผลิต
“ปัจจุบันเรามีรองเท้านับร้อยๆ แบบ กำลังผลิตประมาณ 30,000 คู่ต่อเดือน และออกแบบสินค้าใหม่ 10 แบบต่อเดือน เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าซื้ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งรองเท้า 1 แบบต้องมี 4 สี และแต่ละสีมีถึง 5 ไซส์ ถ้าผลิตมาแล้วขายไม่หมดจะกลายเป็นสินค้าค้างสต๊อก ต้นทุนจมทันที ดังนั้น ตอนนี้เราเลยเปลี่ยนมาใช้วิธีมีออเดอร์แน่นอนก่อนค่อยทำ ซึ่งข้อดีตัดปัญหาสินค้าค้างสต๊อก แต่ข้อเสีย หากได้ออเดอร์ใหญ่ๆ เข้ามาก็จะผลิตไม่ทัน เสียโอกาสธุรกิจ”
แม้จะพยายามปรับตัวอย่างยิ่ง แต่ด้วยการแข่งขันสูง ประกอบกับ 2-3 ปีหลังที่ผ่านมา เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัว ลูกค้าลดกำลังซื้อ ยิ่งประกอบกับเป็นสินค้าราคาถูก กำไรต่ำ หักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วเหลือสุทธิแค่ 10-15% เท่านั้น บางช่วงธุรกิจจึงประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง
แนวทางแก้ไขนั้น ขอต่อรองลูกค้าปรับระยะเวลาให้เครดิตสั้นลงเหลือ 10 วัน นอกจากนั้น เมื่อปีที่แล้ว (2558) ใช้บริการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 4% (Policy Loan) ของธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) จำนวน 3 ล้านบาท เพื่อมาเป็นทุนหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องธุรกิจเดินต่อไปได้
เขาเผยด้วยว่า หัวใจหลักในการทำธุรกิจ ณ ปัจจุบัน พยายาม “ใช้การตลาดนำการผลิต” จากเดิมคิดแต่จะทำรองเท้าให้สวยคุณภาพดี และทำจำนวนมากๆ ให้ทันต่อออเดอร์ที่แน่นเอี้ยด ต้องเปลี่ยนมาเน้นหาตลาดรับซื้อให้ได้เสียก่อน เพื่อรักษายอดผลิตและคงรายได้
“ผมมองว่ารองเท้าแฟชั่นผู้หญิงราคาถูกโอกาสจะโตกว่านี้ยาก เพราะมีคู่แข่งเยอะ และวางแผนตลาดลำบาก ถ้าผลิตมากเกินไปเกิดปัญหาล้นสต๊อก น้อยเกินไปก็เสียโอกาส ดังนั้น แผนที่วางไว้อยากขยายผลิตรองเท้าไลฟ์สไตล์ที่ใช้เครื่องจักรทำสำเร็จรูป ไม่ต้องพึ่งแรงงานคนมากนัก และสินค้าได้มาตรฐาน เมื่อมีออเดอร์เข้ามา สามารถผลิตได้รวดเร็วทันทีโดยไม่ต้องสต๊อกล่วงหน้า นอกจากนั้น รองเท้าประเภทนี้ยังทำตลาดได้ง่ายและกว้างกว่า ทั้งกลุ่มผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก รวมถึงส่งออกต่างประเทศได้ง่ายกว่าด้วย” จิรพัฒน์ระบุ
ในยุคเศรษฐกิจขาลง อีกทั้งแข่งเดือด การทำธุรกิจของเอสเอ็มอีจึงทั้งหนักและเหนื่อย แต่เมื่อมีความพยายามจะต่อสู้และมุ่งปรับตัวเสมอย่อมฝ่าฟันอุปสรรคไปจนได้ แบรนด์ “bee bee” เชื่อเช่นนั้น
ติดต่อโทร. 09-8830-3506, 09-8872-5178 และ 08-6171-2504
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *