xs
xsm
sm
md
lg

“สมคิด” ปลุกหน่วยงานรัฐ-เอกชน 60 องค์กร ผนึกพลังหนุน SMEs ไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

พิธีลงนามความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 60 องค์กร ในโครงการ “สานพลังประชารัฐ ส่งเสริม SMEs Start up&Social Enterprises”
รองนายกฯ ปลุกหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน 60 องค์กร ประสานพลังประชารัฐ ร่วมทำหน้าที่ส่งเสริมเอสเอ็มอี ดูแลและผลักดันกลุ่ม Start up ให้เติบโต ระบุต้องสร้างสังคมแห่งความคิดใหม่ ผ่านการบ่มเพาะของสถาบันการศึกษา ชี้เป็นโอกาสทองในการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยใช้เอสเอ็มอีเลือดใหม่เป็นตัวขับเคลื่อน แย้มออกมาตรการจูงใจยักษ์ใหญ่อุ้มรายย่อย พร้อมเตรียมจัดงาน ‘Thailand Start up’ ปลายเดือน มี.ค.
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ
ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ กล่าวในการเป็นประธานลงนามความร่วมมือระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกว่า 60 องค์กร ในโครงการ “สานพลังประชารัฐ ส่งเสริม SMEs Start up&Social Enterprises” ในการเสริมศักยภาพและความเข้มแข็งให้แก่เอสเอ็มอีไทยว่า เดิมความเข้าใจในเรื่องของเอสเอ็มอีสำหรับคนทั่วไปยังไม่ถ่องแท้ ตนพยายามจะให้เอสเอ็มอีเป็นแรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจไทยมาตั้งแต่หลังวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาเอสเอ็มอีจะถูกมองว่าต้องเป็นธุรกิจขนาดเล็ก ไม่มีความแข็งแรง ไม่มีเงินมากนัก รวมถึงสถาบันการเงินไม่อยากจะปล่อยสินเชื่อ และภาคการเมืองก็ไม่อยากมาส่งเสริมมากนัก เพราะเห็นว่าไม่ค่อยมีประโยชน์ แต่สิ่งเหล่ากำลังจะหมดไปแล้ว เพราะปัจจุบันรัฐบาลชุดนี้ภายใต้การนำของท่านนายกฯ และทีมเศรษฐกิจชุดนี้ที่เอาจริงเอาจังและเข้าใจเรื่องเอสเอ็มอี พยายามขับเคลื่อนเอสเอ็มอี และที่สำคัญความร่วมมือของหน่วยงานทั้ง 60 องค์กรจะมาช่วยกันปฏิรูปเศรษฐกิจประเทศโดยใช้เอสเอ็มอี ทำให้มวลชนเกิดควมเข้าใจในเจตนาเดียวกัน

รองนายกฯ กล่าวต่อว่า ประเทศที่มีเศรษฐกิจเข้มแข็งจะต้องเกิดจากเอสเอ็มอีที่มีความคิดใหม่ๆ เอสเอ็มอีที่อยากจะสร้างคุณค่าเชิงการค้า เอสเอ็มอีที่กล้าจะทำธุรกิจบนนวัตกรรม นี่จึงเรียกกว่า กลุ่ม Start up ดังนั้น พวกเราต้องมาช่วยกันดูแลต้นกล้าเหล่านี้ให้เติบโตเกิดเป็นธุรกิจใหม่ได้ และสามารถแข่งขันบนตลาดโลกได้

“การมีเอสเอ็มอี Start up เราต้องเริ่มจากการสร้างสังคมแห่งความคิดใหม่ โดยโรงเรียน มหาวิทยาลัย ต้องเป็นจุดเริ่มต้น บ่มเพาะความคิดสู่คนรุ่นใหม่ ผมได้สั่งการให้สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เข้าไปเจาะถึงนักเรียนและนักศึกษา ตั้งแต่เขายังเรียนไม่จบ เพื่อที่หลังจากออกมาแล้ว สามารถเป็นกลุ่ม Start up ได้เลย ผ่านการส่งเสริมของหน่วยงานต่างๆ เช่น กองทุนร่วมลงทุนกับธนาคาร เป็นต้น”

นอกจากนั้น ในวันที่ 24-27 มี.ค.ที่จะถึงนี้ ได้สั่งการให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องทั้งหมดร่วมจัดงาน ‘Thailand Start up’ ซึ่งจะเป็นงานใหญ่ประจำปี รวบรวมกลุ่ม Start up จากทั่วประเทศมาไว้ร่วมกัน เพื่อแสดงศักยภาพ รวมถึงเชิญผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้และต่อยอด Start up อีกทั้งมีสถาบันการเงินต่างๆ มาแนะนำการเข้าถึงแหล่งเงินทุน มีการจดทะเบียน Start up เพื่อจะได้รับรู้ความต้องการของผู้ประกอบการรุ่นใหม่อย่างแท้จริง ซึ่งงานนี้เราจะต้องการจะช่วยเหลือ Start up อย่างครบวงจร ตามที่เขาอยากได้จะมากที่สุด” ดร.สมคิดกล่าว

ในส่วนของบริษัทขนาดใหญ่ อยากขอร้องให้เข้ามาช่วยเหลือ SMEs Start up ซึ่งภาครัฐจะมีการตอบแทนด้วยมาตรการจูงใจต่างๆ เช่น การลดหย่อนภาษี รวมถึง ปรับแก้กฎหมายต่างๆ เอื้อให้แก่บริษัทใหญ่ที่มีส่วนช่วยเหลือรายย่อย

ทั้งนี้ มอบหมายให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) ธนาคารออมสิน เตรียมเงินทุน 3,000-4,000 ล้านบาท รองรับความต้องการของผู้ประกอบการ เพื่อสร้างเอสเอ็มอีเป็นบริษัทขนาดใหญ่มุ่งสู่ตลาดโลก เพื่อให้เอสเอ็มอีภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเติบโตก้าวไปได้ คาดว่า ครม.จะอนุมัติเงินทุนสนับสนุนในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า

รองนายกฯ กล่าวด้วยว่า ในระยะเวลาประมาณ 1.5 ปีที่รัฐบาลชุดนี้จะมีวาระในการทำงานจะผลักดันให้ SMEs Start up พัฒนาเป็น Smart SMEs Start up กระจายอยู่ในทุกกลุ่มอุตสาหกรรมของไทย เชื่อว่า ภายใต้การทำงานของทีมเศรษฐกิจชุดนี้ และนายกรัฐมนตรีท่านนี้ซึ่งล้วนแต่ให้ความสำคัญแก่เอสเอ็มอี โอกาสในการปฏิรูปเศรษฐกิจของประเทศไทยมากถึงแล้ว

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ลำพังแค่การทำงานของรัฐบาล แต่ต้องเกิดจากความร่วมมือของภาคเอกชน และมวลชน สถาบันการศึกษา อีกทั้งสื่อมวลชนเดินเข้ามาร่วมกัน ขณะนี้ไม่มีเวลาจะทะเลาะกันแล้ว แม้ว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัว แต่การลงนามความร่วมมือในวันนี้เพื่อจะแสดงให้เห็นว่า ถ้าเราเตรียมพร้อม และร่วมมือกัน เราจะสามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาสได้ ซึ่งพลังประชารัฐจะกลายเป็นจุดเปลี่ยนในการปฏิรูปเศรษฐกิจไทย เพื่อก้าวสู่ไทยแลนด์สปริงอัพ
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์
นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า นับเป็นมิติใหม่ในการช่วยเหลือผ่านเครือข่ายร่วมกัน เพื่อให้ธุรกิจรายใหญ่ช่วยเหลือรายย่อย เอสเอ็มอีได้ช่วยเหลือวิสาหกิจชุมชน การจัดทำบัญชีมาตรฐาน การจับคู่ธุรกิจ ส่งเสริมการท่องเที่ยวชุมชน การนำผลวิจัยของสถาบันการศึกษา การพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาช่วยเหลือเอสเอ็มอี
นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เอกชนที่ต้องการเริ่มทำธุรกิจใหม่ต้องการความช่วยเหลือ 4 ด้าน คือ การตลาด การเพิ่มประสิทธิการผลิต การลดต้นทุน และเงินทุนหมุนเวียน การลงนามครั้งนี้จะมีโครงการพี่ช่วยน้อง โครงการเข้าถึงแหล่งเงินทุน โครงการส่งเสริมเอสเอ็มอีก้าวสู่ตลาดสากล เพื่อชี้ช่องทางจำหน่าย การส่งเสริมช่องทางการตลาดอี-คอมเมิร์ซ การเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคมและเศรษฐกิจฐานราก คาดว่าจะช่วยผลักดันให้จีดีพีของเอสเอ็มอีเติบโตจากร้อยละ 37 มีสัดส่วนเพิ่มเป็นร้อยละ 50 ของจีดีพีทั้งหมดภายใน 5 ปีข้างหน้า

สำหรับการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกลุ่มภาคี จำนวน 7 ฉบับ ภายใต้ 3 กรอบหลัก คือ

1. กรอบ MOU SMEs มีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ 4 ฉบับ ประกอบด้วย โครงการ Big Brother (พี่ช่วยน้อง), โครงการส่งเสริม SMEs เข้าถึงแหล่งทุน, โครงการส่งเสริม SMEs สู่ตลาดสากล, ส่งเสริมช่องทางการตลาด E-Commerce

2. กรอบ MOU Startup and IDE มีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ 1 ฉบับ คือ การสนับสนุนและพัฒนาระบบนิเวศ (Eco-System) ให้ผู้ประกอบการใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (IDE Start-up)

3. กรอบ MOU Social Enterprise (SE) ซึ่งมีบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ 2 ฉบับ คือ การสนับสนุนและส่งเสริมความเข้มแข็งของวิสาหกิจเพื่อสังคมและเศรษฐกิจฐานราก และการสนับสนุนด้านการเงิน (SE Funding)

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SMEs ผู้จัดการ” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *


กำลังโหลดความคิดเห็น