ธุรกิจที่พักขนาดเล็กราคาประหยัด หรือ “โฮสเทล”(Hostel) เพื่อนักท่องเที่ยวแบกเป้ชาวต่างชาติกำลังขาขึ้นได้รับความนิยมสูง มีผู้ประกอบการรายใหม่แห่เข้ามาลุยเปิดเพิ่มจำนวนมาก ส่งให้การแข่งขันดุเดือด รายที่จะอยู่รอดและประสบความสำเร็จต้องมีเอกลักษณะเฉพาะตัวและบริหารยอดเยี่ยม หนึ่งในนั้นคือ “สุเนต์ตา” โฮสเทลชื่อดังที่ยืนหยัดในวงการมากว่า 6 ปี
นรี สุเนต์ตา ผู้บริหาร “สุเนต์ตา โฮสเทล” เล่าว่า ธุรกิจนี้มีแรงบันดาลใจจากสมาชิกครอบครัวทุกคน ล้วนชื่นชอบการท่องเที่ยว และอยากทำที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวตามที่ฝันไว้ คือ ทั้งสะอาด สวยงาม และราคาไม่แพง จึงริเริ่มทำ “โฮสเทล” สาขาแรกที่ อ.เชียงคาน จ.เลย เมื่อ 6 ปีที่แล้ว โดยใช้นามสกุลมาตั้งเป็นชื่อโฮสเทล บ่งบอกว่าธุรกิจนี้เป็นของครอบครัว “สุเนต์ตา” อย่างแท้จริง
“เวลานั้น เชียงคานยังถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่มากๆ ค่าเช่าอาคารถูกมาก พี่ชายไปเที่ยวแล้วติดใจ เลยตัดสินใจเข้าไปลงทุนเช่าบ้านเก่าทำที่พัก ซึ่งเราเลือกจะวางรูปแบบเป็นโฮสเทล เพราะมีความอิสระและยืดหยุ่นด้านบริหารมากกว่าโรงแรม และไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก เบื้องต้นประมาณ 2 ล้านบาท ซึ่งหลังจากเปิดได้รับความนิยมดีมาก”
เนื่องจากสาขาเชียงคาน ลูกค้าส่วนใหญ่จะเข้าพักแน่นเฉพาะหน้าท่องเที่ยว ประมาณ 3 เดือนปลายปี เมื่อ 4 ปีที่แล้วได้เปิดสาขา 2 อยู่ย่านถนนข้าวสาร ศูนย์กลางบรรดาแบ็กแพกเกอร์ เพราะต้องการจะช่วยให้หารายได้จากลูกค้าเข้าพักได้ตลอดทั้งปี เป็นการกระจายความเสี่ยงธุรกิจ
อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของอาคารที่จะไปเช่า ชั้นล่างมีธนาคารแห่งหนึ่งเช่าเปิดอยู่แล้ว ดังนั้น พื้นที่จะทำโฮสเทลได้คือชั้น 2-4 ของอาคารเท่านั้น แต่ครอบครัวสุเนต์ตายังกล้าจะลงทุน เพราะจากประสบการณ์ทำโฮสเทลที่ผ่านมารู้ดีว่าลูกค้าที่เข้าพักมากกว่า 90% จะหาข้อมูลและจองผ่านอินเทอร์เน็ต ดังนั้น การไม่มีหน้าร้านไว้รับลูกค้าเดินเข้ามาติดต่อเอง (วอล์กอิน) แทบจะไม่มีผลต่อธุรกิจ
อีกความแตกต่างของโฮสเทลแห่งนี้ คือ ขยับราคาที่พักเป็น 490 บาทต่อเตียง สูงกว่าราคาเฉลี่ยของที่พักละแวกถนนข้าวสาร ซึ่งจะอยู่ประมาณ 300-400 บาทต่อเตียง เพราะจุดประสงค์ต้องการเป็นทางเลือกใหม่ ตรงกลางระหว่างโฮสเทลหรือเกสต์เฮาส์ราคาถูก กับโรงแรมราคาสูง
“เรามั่นใจว่าด้านความสวยของเราไม่แพ้โรงแรม แม้ราคาจะสูงกว่าราคาเฉลี่ย แต่ก็แลกด้วยบริการ กับสถานที่ดีกว่า มีอาหารเช้าบุฟเฟต์บริการ ซึ่งลูกค้ายินดีจะจ่ายสูงขึ้น และที่สำคัญ ราคาที่สูงขึ้นยังเป็นการคัดกรองลูกค้าไปในตัวด้วย ทำให้เราได้แขกที่คุณภาพดีตามไปด้วย” นรีอธิบาย
ในด้านการทำตลาดนั้น เธอเล่าว่า “สุเนต์ตา โฮสเทล” ไม่เคยซื้อสื่อโฆษณาใดๆ เลย มีเพียงวิธีง่ายๆ เริ่มแรกยืนแจกแผ่นพับให้ลูกค้าบนถนนข้าวสาร โดยสิ่งสำคัญของธุรกิจโฮสเทลคือ เมื่อมีลูกค้าทดลองมาพักแล้วต้องประทับใจ แล้วไปบอกต่อ หรือเขียนรีวิวในอินเทอร์เน็ต หรือในสังคมออนไลน์ของบรรดานักเที่ยวแบกเป้ ซึ่งจะมีอิทธิพลอย่างสูงต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวของโฮสเทลแต่ละแห่ง
“ความสำเร็จของธุรกิจโฮสเทลอยู่ที่การบอกปากต่อปาก ก่อนที่ลูกค้าจะเข้าพักจะหาข้อมูลรีวิว หากเขียนแง่บวกก็จะมีลูกค้ามาเที่ยวตาม หากเกิดกรณีที่เป็นแง่ลบ วิธีการรับมือ ถ้าเป็นความผิดพลาดจากเราจริงๆ เราจะขอโทษยอมรับผิด แล้วนำกลับไปปรับปรุง แต่หากเกิดจากมีผู้จงใจใส่ร้ายหรือให้ข้อมูลไม่ตรงข้อเท็จจริง เราจะตามหาต้นตอให้ได้ เพื่อให้เขายอมแก้ไขหรือลบข้อความเสีย เพราะถือเป็นผลกระทบต่อธุรกิจเราอย่างสูง”
“สุเนต์ตา โฮสเทล” สาขาข้าวสาร ใช้เงินลงทุนประมาณ 2 ล้านบาท เปิดบริการมาแล้วประมาณ 4 ปี มีเตียงบริการทั้งหมด 44 เตียง แบ่งเป็นห้องนอนรวม 16 ห้อง และห้องเดี่ยว 1 ห้อง มี 7 ห้องน้ำ ตกแต่งในสไตล์บ้านไม้โบราณ เพื่อให้ผู้เข้าพักสัมผัสบรรยากาศวิถีไทย โดยเฉลี่ยมีอัตราผู้เข้าพักเต็มถึงมากกว่า 90% ลูกค้ากว่า 60% เป็นชาวยุโรป และ 40% ชาวเอเชีย เฉลี่ยมีรายได้ประมาณ 200,000 บาทต่อเดือน
สาวเก่งระบุการทำธุรกิจโฮสเทลให้สำเร็จจากประสบการณ์ที่ผ่านมาคือ ต้องมี “ทำเลดี” อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เดินทางขนส่งสาธารณะสะดวก ข้อต่อมา “ตกแต่งสวยงาม” ภายในมีเอกลักษณ์โดดเด่น รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อม ตามด้วย “บริการดี” ให้ลูกค้าพออกพอใจ สุขสบายเหมือนมาอยู่บ้านญาติ ซึ่งการจะสร้างบริการที่ดีได้ต้องเกิดจากพนักงานมีทัศนคติแง่บวก รักงานบริการจริงๆ ตามด้วย “ราคาสมเหตุสมผล” และสุดท้าย “บริหารต้นทุนรอบคอบ” วางแผนการเงิน ทั้งก่อนและระหว่างดำเนินธุรกิจอย่างละเอียดที่สุด
“ส่วนตัวดิฉัน เชื่อว่าการทำธุรกิจใดๆ ก็ตามควรจะเริ่มจากทุนส่วนตัว และการทำโฮสเทลในปัจจุบันไม่ควรทำต่ำกว่า 50 เตียง และคำนวณแล้วต้องมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 150,000 บาทต่อเดือน สามารถคืนเงินลงทุนทั้งหมดได้ไม่เกิน 2 ปี ถ้าทำไม่ได้ตามนี้ คิดว่าไม่ทำจะดีกว่า”
เธอเสริมว่า ปัจจุบันสาขาแรกที่ อ.เชียงคาน กลุ่มนักท่องเที่ยวหลักกลับกลายเป็นคนไทยมากกว่าชาวต่างชาติ ดังนั้น ได้ยกระดับที่พักให้ขึ้นชั้นเป็นบูติกโฮเต็ล มีห้องพักส่วนตัว เหมาะกับพฤติกรรมนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ชอบความเป็นส่วนตัว
ขณะที่แผนธุรกิจต่อไป กำลังจะเปิดสาขา 3 ที่บริเวณประตูท่าแพ จ.เชียงใหม่ ใช้เงินลงทุนในการเช่าอาคารและปรับปรุงสถานที่ประมาณ 2 ล้านบาท วางกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไว้ที่นักท่องเที่ยวคนไทยและต่างชาติอย่างละ 50% เพื่อให้เหมาะสมกับทำเล ซึ่งย่านดังกล่าวเป็นที่นิยมของแบ็กแพกเกอร์ทั้งไทยและเทศพอๆ กัน คาดจะเริ่มบริการได้ประมาณเดือนเมษายน 2559 นี้
นอกจากนั้น กำลังเสาะแสวงหาทำเลในกรุงเทพฯ ขยายสาขาเพิ่มเติม รวมถึงเตรียมวางแผนนำระบบไอทีมาช่วยควบคุมดูแลให้แต่ละสาขามีมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด
“ทุกวันนี้มีโฮสเทลเปิดใหม่จำนวนมาก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่เติบโตคู่กับการท่องเที่ยวเมืองไทยซึ่งได้รับความนิยมจากคนทั่วโลก แต่เมื่อเปิดกันมาก ในที่สุดการแข่งขันก็สูง ผู้บริโภคก็จะมีทางเลือกหลากหลายขึ้น ดังนั้น ในระยะยาว รายที่จะอยู่รอดไปได้จะต้องมีคุณภาพมาตรฐานเป็นที่ยอมรับจริงๆ” นรีทิ้งท้าย
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *