แม้จะเปิดมาได้เพียง 1 ปีนิดๆ เท่านั้น แต่ชื่อของ “โอลด์ ทาวน์ โฮสเทล” (Old Town Hostel) ธุรกิจที่พักราคาประหยัด หรือที่เรียกกันว่า “โฮสเทล” (HOSTEL) กลับได้รับความนิยม และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในหมู่นักท่องเที่ยวแบกเป้ชาวต่างชาติ หรือแบ็กแพกเกอร์ (Backpacker)
ความสำเร็จดังกล่าวมาจากการใช้ประสบการณ์จริงที่เคยเป็นนักท่องเที่ยวมาก่อน วางตำแหน่งธุรกิจให้เป็นที่พัก ที่จะเป็นประตูแรกพาไปสู่วันวานของกรุงเทพฯ โดดเด่นทั้งเรื่อง “ทำเล” ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนาน และใกล้แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมมากมาย ส่วนตัวอาคารเป็นตึกโบราณอายุหลักร้อยปี นำมาตกแต่งอย่างมีสไตล์ พร้อมมีบริการต่างๆ ที่รวบรวมเอาจุดเด่นของโฮสเทลทั่วโลกมาไว้รวมกัน จนกลายเป็นที่พักราคาถูกขวัญใจแบ็กแพกเกอร์อย่างรวดเร็ว
“โอลด์ทาวน์โฮสเทล” โฮสเทลชื่อดังบนถนนเจริญกรุง เปิดบริการเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2557 โดยกลุ่มเพื่อนซี้ 5 คนที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นประถม ประกอบด้วย ธรรมนูญ วิศิษฏ์ศักดิ์, ธนัท ภาอารยพัฒน์, คมสิทธิ์ แสงมณี, นรุตม์ชัย จักรภีร์ศิริสุข และวงศวัฒน์ จิรังบุญกุล
ส่วนแรงบันดาลใจที่ร่วมกันทำธุรกิจนี้ เกิดจากทุกคนรักในการท่องเที่ยวเหมือนๆ กัน โดยเฉพาะการท่องเที่ยวแบบแบ็กแพก มักร่วมกันแบกเป้เดินทางไปเที่ยวประเทศต่างๆ และใช้บริการพักโฮสเทลเสมอๆ เพื่อประหยัดงบ ที่ผ่านมาเคยเข้าพักมาแล้วรวมกันกว่า 75 ประเทศ จนเกิดแนวคิดอยากเปิดโฮสเทลของตัวเอง โดยนำข้อดีของโฮสเทลต่างๆ ที่เคยเข้าพักมาประยุกต์ไว้รวมกัน
ธรรมนูญ วิศิษฏ์ศักดิ์ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง เล่าว่า ปัจจัยสำคัญอันดับแรกของการจะทำโฮสเทลให้สำเร็จต้องมีทำเลเหมาะสม ซึ่งกว่าจะได้ตึกที่นำมาสร้างเป็น“โอลด์ทาวน์โฮสเทล” ใช้เวลาเสาะแสวงหาอยู่นานกว่า 1 ปี สาเหตุที่เลือกอาคารแห่งนี้เพราะเป็นทำเลที่ตั้งบนศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ และยังใกล้แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอื่นๆ มากมาย เช่น วัดพระแก้ว ท่าพระจันทร์ สนามหลวง ฯลฯ สามารถขายเสน่ห์แห่งการเป็นจุดตั้งต้นของผู้เข้าพักไปเที่ยวสัมผัสเสน่ห์แห่งเมืองหลวงในอดีตได้
ด้านตัวอาคารเป็นห้องแถวต่อกัน 10 คูหา มีอายุกว่า 100 ปี ซึ่งเดิมเคยเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์หินโบราณ แต่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากไร้ที่จอดรถ ทว่า การจะนำมาทำเป็นโฮสเทลจะไม่มีปัญหาดังกล่าว เพราะนักท่องเที่ยวแบกเป้ไม่มีรถส่วนตัวอยู่แล้ว จึงติดต่อเจ้าของสถานที่เพื่อขอเช่ามาปรับปรุงทำเป็นโฮสเทล
เนื่องจากหนึ่งในหุ้นส่วนผู้ก่อตั้ง คือ “ธนัท ภาอารยพัฒน์” เรียนจบมาด้านสถาปัตยกรรม จึงรับหน้าที่ในการออกแบบและปรับปรุงสถานที่ โดยเขาให้ข้อมูลว่า เนื่องจากโอลด์ทาวน์โฮสเทลวางจุดยืนเป็นประตูที่จะพานักท่องเที่ยวที่เข้าพักไปสู่อดีต การตกแต่งเน้นในสไตล์ย้อนยุค ในขณะเดียวกันมีระบบต่างๆ และสิ่งอำนวยความสะดวกเกือบจะเทียบเท่าบูติกโฮเต็ล
นอกจากนั้น หัวใจสำคัญของโฮสเทล คือ การเป็นแหล่งพบเจอเพื่อนใหม่ๆ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในหมู่คนรักการท่องเที่ยว ดังนั้น ในการออกแบบจึงจัดพื้นที่ส่วนกลางสำหรับทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องสมุด และห้องดูโทรทัศน์ เป็นต้น รวมถึงจัด LAYOUT เส้นทางเดิน เฟอร์นิเจอร์ ในโฮสเทลให้คนพักได้พบเจอกันบ่อยครั้ง เพื่อจะให้เกิดการสร้างสัมผัสระหว่างเพื่อนใหม่
“เสน่ห์ประการสำคัญของโฮสเทล คือ การสร้างให้เกิดสังคมเล็กๆ ระหว่างเพื่อนใหม่ ซึ่งจะมีความอบอุ่นและยืดหยุ่นมากกว่าโรงแรม ซึ่งการทำพื้นที่ส่วนกลางมาก ต้องแลกด้วยพื้นที่ทำห้องน้อยลง แต่พวกเราก็เลือกจะยอมลงทุนในจุดนี้ เพราะจากประสบการณ์ที่เคยไปพักในโฮสเทลต่างๆ ความประทับใจที่เกิดขึ้นจากสังคมคนพัก จะช่วยให้เกิดการบอกต่อ และลูกค้ากลับมาซ้ำสูงมาก” ธนัทระบุ
เขาเสริมด้วยว่า ก่อนที่จะวางจุดยืน และออกแบบสร้าง “โอลด์ทาวน์โฮสเทล” หุ้นส่วนทุกคนจะไม่ไปดูการออกแบบโฮสเทลแห่งใดๆ ในประเทศไทยเลย เพราะอยากให้โฮสเทลของพวกเขามีสไตล์เป็นตัวของตัวเองมากที่สุด และป้องกันการรับอิทธิพลไอเดียมาจากโฮสเทลอื่นๆ ที่เปิดในเมืองไทยมาก่อนแล้ว
ด้านธรรมนูญเล่าเสริมต่อว่า โอลด์ทาวน์ โฮสเทล ใช้งบลงทุนราว 15 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงสถานที่ โดยใช้เวลาปรับปรุงอยู่เกือบ 1 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ ปัจจุบัน มีทั้งหมด 22 ห้องพัก จำนวน 111 เตียงนอน คิดอัตราค่าบริการโดยเฉลี่ยราว 300 บาทต่อคืน ขึ้นอยู่กับแต่ละฤดูกาลการท่องเที่ยว
ทั้งนี้ เริ่มเปิดเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2557 นับตั้งแต่วันแรกที่ให้บริการ จำนวนแขกเข้าพักเต็ม 100% ทันที เนื่องจากก่อนจะเปิดได้ทำตลาดเบื้องต้น อาศัยติดต่อขายที่พักผ่านตัวแทนขายที่พักและทัวร์ออนไลน์ (online travel agency หรือ OTA) โดยยอมเสียค่าส่วนแบ่งรายได้ และเมื่อแขกชุดแรกที่เข้าพักเกิดติดใจทั้งด้านตกแต่งโดดเด่น สะอาดสวยงาม ทำเลเหมาะสม ในขณะที่ราคาถูก จะเกิดการบอกต่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการไปเขียนรีวิวในเว็บบอร์ด และสังคมออนไลน์ต่างๆ ในหมู่แบ็กแพกเกอร์ ทำให้มีลูกค้าเข้าพักแน่นต่อเนื่อง เฉลี่ยเต็มมากกว่า 80%
สำหรับปัจจุบัน การเข้าพักของลูกค้า จะจองผ่านออนไลน์ประมาณ 90% และเดินติดต่อเข้ามาเอง (วอล์กอิน) ประมาณ 10% ส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวยุโรป 50% เช่น อังกฤษ โปแลนด์ เยอรมัน ฯลฯ และชาวเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และจีน ราว 20% ส่วนที่เหลือ 30% เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวชาติอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา อเมริกาใต้ เป็นต้น
ธรรมนูญเผยด้วยว่า อีกสิ่งสำคัญมากๆ ของการทำธุรกิจโฮสเทล คือเรื่อง “บริการ” ซึ่งโฮสเทลที่จะมีเสน่ห์ดูดดึงใจผู้เข้าพักได้ ต้องทำให้ลูกค้ารู้สึกสบายอกสบายใจและปลอดภัยในการเข้าพัก เหมือนกับไปพักตามบ้านเพื่อนในต่างแดน ไม่ได้เป็นการบริการแค่ตามหน้าที่ หรือบริการเพราะเป็นลูกค้า แต่ต้องบริการเหมือนดูแลเพื่อนหรือญาติ
“นโยบายของพนักงานโอลด์ทาวน์โฮสเทล จะต้องรู้ข้อมูลเบื้องต้นของแขกที่เข้าพัก เช่น มาจากประเทศไหนแล้วจะไปที่ไหนต่อ เพื่อที่เวลาลูกค้าบางคนไปเที่ยวแล้วเมากลับมา เราจะได้ไปปลุกเขาให้ตื่นไปขึ้นเครื่องบินทัน หรือเวลาแขกที่จะมาพัก เราจะให้ข้อมูลที่เขาต้องการ เช่น ช่วยคัดกรองบริษัททัวร์ รถแท็กซี่ ไกด์ ฯลฯ ว่าราคายุติธรรมหรือเปล่า ช่วยไม่ให้เขาถูกหลอก ขูดรีด ซึ่งลักษณะนิสัยของแบ็กแพกเกอร์จะประหยัดมากๆ ถ้าเราช่วยให้เขาลดการจ่ายเงินไปได้ เขาจะดีใจมากๆ เหล่านี้มันเป็นสิ่งที่เมื่อลูกค้ากลับไปแล้วจะเกิดความประทับใจแล้วบอกต่อ หรือมาพักซ้ำ หรือขยายเวลาพักมากขึ้น ซึ่งพฤติกรรมของแบ็กแพกเกอร์ทั่วไป การจองโฮสเทลเบื้องต้นจะจองพักแค่ 1 วัน ถ้าติดใจค่อยขยายเวลาออกไป ซึ่งโดยเฉลี่ยของโอลด์ทาวน์โฮสเทล แขกจะพักประมาณ 6-7 วัน และเคยนานถึงเป็นเดือนก็มี” ธรรมนูญอธิบาย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโฮสเทลเป็นห้องพักแบบนอนรวม และมีคนแปลกหน้าจากทั่วสารทิศมาอยู่รวมกัน ดังนั้นย่อมเกิดปัญหาสารพัดตามมา เช่น ปัญหาการลักลอบมีเพศสัมพันธ์ ปัญหาเสพยาเสพติด และเล่นการพนัน เป็นต้น การป้องกันปัญหาเหล่านี้จะต้องออกกฎกติกามารยาทอย่างชัดเจน และแจ้งบอกเงื่อนไขแก่ผู้เข้าพักตั้งแต่แรก นอกจากนั้น มีป้ายเตือนตามจุดต่างๆ ในโฮสเทลอย่างชัดเจน แต่ถ้ายังมีการฝ่าฝืนจะต้องมีการตักเตือน และหากเป็นความผิดร้ายแรงจำเป็นต้องเชิญออกจากที่พัก
ในด้านการตลาด คมสิทธิ์ แสงมณี ให้ข้อมูลว่า ต้นทุนของธุรกิจโฮสเทล แต่ละแห่งจะแตกต่างกันไป โดยเฉลี่ยเริ่มต้นที่ 20,000-200,000 บาทต่อเตียง โดยของโอลด์ทาวน์โฮสเทล ต้นทุนประมาณ 100,000 กว่าบาทต่อเตียง เมื่อหักมาเป็นค่าพักคืนละประมาณ 300 บาทแล้ว จะเหลือกำไรสุทธิประมาณ 30% จากค่าใช้จ่าย ซึ่งการตั้งราคาที่พักนั้นสามารถกำหนดได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำเลที่ตั้ง สิ่งอำนวยความสะดวก และบริการเสริม ฯลฯ
ทั้งนี้ ด้านรายได้ของโอลด์ทาวน์โฮสเทลนั้น เขาบอกว่า 90% จะมาจากค่าเช่าห้องพัก ส่วนอีก 10% มาจากให้บริการร้านอาหาร ค่าโต๊ะพูล ค่าเครื่องซักผ้า รวมกันประมาณ 10% ในขณะที่มีรายจ่ายประจำประมาณ 300,000-500,000 บาท มาจากค่าเช่า ค่าพนักงาน และค่าซ่อมบำรุง ซึ่งจากการดำเนินธุรกิจมาประมาณ 1 ปีเศษ มีอัตราเข้าพักเต็มถึงกว่า 80% ซึ่งเป็นไปตามแผนธุรกิจที่วางไว้ และคาดจะคืนเงินลงทุนทั้งหมดได้ในเวลาไม่เกิน 3 ปี ส่วนปัจจัยเสี่ยงมาจากสถานการณ์รุนแรงที่เกินควบคุม เช่น เรื่องภัยธรรมชาติ ภัยก่อการร้าย เป็นต้น
“ทุกวันนี้โฮสเทลเปิดใหม่เยอะมาก เนื่องจากตรงเทรนด์ของการท่องเที่ยวยุคใหม่ที่มาคนเดียว และค่าใช้จ่ายก็ถูก ตั๋วเครื่องบินก็ราคาถูกลง ทำให้การเดินทางง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ ผมว่า อันดับแรกคือ ทำเลที่ดี ตามมาคือโฮสเทลแต่ละแห่งควรจะมีจุดเด่นเฉพาะตัว และการมีบริการที่ดี และมีความน่าเชื่อถือ ไม่ใช่แค่เรื่องราคาถูกเท่านั้น และก่อนจะทำธุรกิจนี้ ต้องคำนวณให้ดีเสียก่อน ต้องละเอียดมากที่สุดว่า ลงทุนเท่าไร คืนทุนได้ในกี่ปี ฯลฯ ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่าควรกำไรมากกว่า 30% ขึ้นไป และต้องคืนทุนให้ได้ภายใน 3 ปี หากไม่ได้ตามนี้ คิดว่าไม่คุ้มค่าต่อการลงทุน” คมสิทธิ์กล่าว
นี่เป็นธุรกิจอันเกิดจากประสบการณ์ท่องเที่ยวแบกเป้ เข้าพักโฮสเทลกว่า 75 ประเทศทั่วโลก เมื่อนำจุดเด่นที่เคยพบเจอมาปรับใช้สร้างโฮสเทลของตัวเอง ความสำเร็จที่เกิดขึ้นในเวลารวดเร็วจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
ติดต่อ 0-2639-4879, www.oldtownhostelbkk.com และ FB: oldtownhostelbkk
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *