กสอ.เปิดโรดแมปหนุนเอสเอ็มอีประจำปี 59 ชู 3 ยุทธศาสตร์ช่วยสร้างหน้าใหม่ เพิ่มศักยภาพรายเดิม และช่วยรายประสบปัญหา พร้อมวาง 4 กลยุทธ์สร้างความเข้มแข็ง ระบุมุ่งเน้นส่งเสริม 4 อุตสาหกรรมดาวเด่นที่สอดรับกับนโยบายคลัสเตอร์อุตสาหกรรมของรัฐบาล ได้แก่ ชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องมือแพทย์ อาหารแปรรูป และแฟชั่น
ดร.สมชาย หาญหิรัญ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กล่าวว่า กสอ.ได้กำหนดยุทธศาสตร์หลัก (ปี 2559-2560) ในการส่งเสริมผู้ประกอบการ SMEs ไทยเพื่อเพิ่มศักยภาพและยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดอาเซียนและระดับโลก ซึ่งนำไปสู่การสร้างความยั่งยืนให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศได้ ประกอบด้วย 3 ยุทธศาสตร์ ได้แก่
ยุทธศาสตร์ที่ 1 มุ่งสร้างผู้ประกอบการใหม่ (New Entrepreneurs) ที่มีศักยภาพ ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อความเข้มแข็งของเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากเมื่อเกิดผู้ประกอบการหน้าใหม่ก็จะเกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หมุนเวียนในระบบตลอดเวลา ก่อให้เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ ตั้งเป้าสร้างผู้ประกอบการรายใหม่ในปี 2559 ให้ได้ไม่น้อยกว่า 2,000 ราย ภายใต้งบประมาณกว่า 55 ล้านบาท
ยุทธศาสตร์ที่ 2 มุ่งผลักดันผู้ประกอบการรายเดิมและสถานประกอบการให้สามารถดำเนินธุรกิจได้และมีขีดความสามารถในการแข่งขันมากขึ้น ทั้งในแง่ของการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต การลดต้นทุน และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ตลอดจนสามารถออกสู่ตลาดต่างประเทศได้ ซึ่ง กสอ.ก็มีโครงการที่หลากหลายในการส่งเสริมผู้ประกอบการ รวมกว่า 70 โครงการ เช่น โครงการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม (คพอ.) โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขัน (MDICP) โครงการพัฒนาศักยภาพ SMEs ด้วยระบบดิจิตอล เป็นต้น
ยุทธศาสตร์ที่ 3 ช่วยเหลือผู้ประกอบการที่ต้องการฟื้นฟูกิจการ หรือผู้ประกอบการที่ประสบปัญหาการดำเนินธุรกิจ ทั้งในเรื่องกระบวนการผลิต การเข้าถึงแหล่งเงินทุน หรือขาดแคลนแรงงานมีฝีมือ เป็นต้น กสอ.จะส่งผู้เชี่ยวชาญเข้าไปให้คำปรึกษาแก่ผู้ประกอบการอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ทราบจุดอ่อนและแก้ไขปัญหาของกิจการให้ตรงจุด ภายใต้โครงการปรับแผนธุรกิจและเพิ่มขีดความสามารถ SMEs โครงการบริการเงินสมทบจ้างที่ปรึกษาเพื่อปรับปรุงการผลิต การตลาด การจัดการ และการบริการ รวมถึงกิจกรรมการสร้างการเชื่อมโยงและบูรณาการการดำเนินงานกับหน่วยงานเครือข่าย เช่น สวทช. SME Bank และสถาบันการเงินอื่นๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือกิจการต่างๆ ให้เหมาะสมกับความต้องการ เป็นต้น
นอกจากนี้ กสอ.ได้กำหนดแนวทางผลักดันธุรกิจ SMEs ไทยให้มีศักยภาพและมีความเข้มแข็งและมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้วยกลยุทธ์ “อินเทลลิเจนต์เอสเอ็มอี” (iSMEs-Intelligent SMEs) โดยมี 4 องค์ประกอบ ดังนี้ 1. ไอโปรดักต์ (iProduct) การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดผ่านการศึกษาพฤติกรรมความสนใจของผู้บริโภค โดยมุ่งให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการในเรื่องของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้สามารถเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด 2. ไอโพรเซส (iProcess) สร้างความสามารถในการวางแผนและบริหารจัดการกระบวนการผลิตได้อย่างชาญฉลาดเพื่อศักยภาพการผลิตที่สมบูรณ์ สามารถลดต้นทุนในทุกๆ ด้าน เช่น วัตถุดิบ
เวลา ทรัพยากร และบุคคล รวมถึงการเลือกใช้เครื่องจักรให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด 3. ไอเน็ตเวิร์ก (iNetwork) ฉลาดในการสร้างเครือข่ายธุรกิจ ด้วยการรวมกลุ่มและสร้างความเชื่อมโยงในเครือข่ายอุตสาหกรรมเดียวกัน 4. ไออองเทรอเพรอเนอส์ (iEntrepreneurs) เน้นการพัฒนาผู้ประกอบการให้มีศักยภาพบริหารจัดการกิจการได้ทุกสถานการณ์ ทั้งผู้ประกอบการรายเดิมและรายใหม่ โดยดูแลตั้งแต่ความรู้พื้นฐานในการประกอบกิจการ และการสนับสนุนให้สามารถจัดตั้งธุรกิจได้
ดร.สมชายกล่าวด้วยว่า ในปี 2559 กสอ.ได้วางแผนการสร้างความพร้อมให้แก่ SMEs ตามสถานะของผู้ประกอบการใน 5 ช่วงสถานะ โดยเริ่มตั้งแต่การให้ความรู้พื้นฐานแก่ผู้ที่กำลังเตรียมความพร้อมเริ่มต้นธุรกิจ (Pre-Start-Up) ผ่านการฝึกอบรมหรือการถ่ายทอดข้อมูล จนสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้เป็นผู้ประกอบการใหม่ (Start-Up) ระยะต่อมาเป็นช่วงของการเติบโตของธุรกิจ (Growth) ซึ่งจำเป็นต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์และการตลาดให้มากขึ้น ผ่านโครงการต่างๆ และมีความพร้อมในการแข่งขันผ่านโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อยกระดับขีดความสามารถการแข่งขัน (MDICP) และโครงการอื่นๆ เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีความสามารถในการปรับใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมในธุรกิจได้ ตลอดจนยกระดับอุตสาหกรรมสู่งานวิจัยและนวัตกรรมเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคได้ครอบคลุมทั่วอาเซียนและขยายสู่ทั่วโลกในอนาคต (International)
ในปี 2559 กสอ.ได้ตั้งเป้าหมายในการพัฒนา SMEs 2,435 กิจการ วิสาหกิจชุมชน 2,820 ราย ผู้ประกอบการและบุคลากรได้รับการพัฒนารวมจำนวน 14,845 คน โดย กสอ.ได้รับการจัดสรรงบประมาณในปี 2559 ทั้งในส่วนที่เป็นงบประมาณของ กสอ. และงบสนับสนุนต่างๆ กว่า 2,300 ล้านบาท
ทั้งนี้ ได้เน้นการส่งเสริม 4 อุตสาหกรรมดาวเด่นที่สอดรับกับนโยบายคลัสเตอร์อุตสาหกรรมของรัฐบาล ได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป ที่จะเน้นการนำวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมมาประยุกต์ใช้ และอุตสาหกรรมแฟชั่น สำหรับ 4 อุตสาหกรรมดังกล่าวมีมูลค่ารวมกันประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งคาดว่าการดำเนินการตามกลยุทธ์ดังกล่าวจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้กว่าร้อยละ 5-7
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *