K-Expert ร่วมกับศูนย์วิจัยกสิกรไทยเผยบทความ “ถอดรหัสรวยปีวอก” โดย วีระพล บดีรัฐ รองผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนและให้คำปรึกษาลูกค้าบุคคล ธนาคารกสิกรไทย เพื่อเตรียมพร้อมให้แก่ผู้ประกอบการรับมือกับการใช้ชีวิตและการวางแผนการเงิน ถึงทิศทางเศรษฐกิจทั้งไทยและต่างประเทศในปี 2559 ประกอบด้วย
1. ทิศทางเศรษฐกิจไทยปี 2559
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2559 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นไปในลักษณะ “ดีขึ้นแบบระมัดระวัง” โดยคาดว่าดัชนีมวลรวมในประเทศ หรือ GDP จะอยู่ที่ 3% สำหรับแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจนั้นมีแรงหนุนจากการใช้จ่ายของภาครัฐ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการขยายตัวของภาคธุรกิจการท่องเที่ยว
อย่างไรก็ดี กรอบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอาจค่อนข้างจำกัด เนื่องจากมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตา ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก และสถานการณ์ภัยแล้งในประเทศ
ในมุมของการลงทุน ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจ แม้อาจจะไม่ดีเท่ากับในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยมีแรงหนุนจากการลงทุนผ่านกองทุนรวม LTF แต่ด้วยค่าเงินบาทที่อ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ดัชนีหุ้นยังปรับตัวขึ้นได้ไม่มากนัก
2. แนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน
ภาพรวมเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มการฟื้นตัวในกรอบจำกัด เนื่องจากเส้นทางการฟื้นตัวของหลายๆ ประเทศยังคงมีความเปราะบาง โดยเฉพาะจีนและหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย
* เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจขยายตัวต่อเนื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดการณ์ GDP อยู่ที่ 2.4% สำหรับปัจจัยที่ส่งผลดีนั้นส่วนใหญ่มาจากการใช้จ่ายภายในประเทศ ในปี 2559 คาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED อาจพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ
* เศรษฐกิจในกลุ่มประเทศยูโรโซน ยังคงต้องพึ่งพาแรงหนุนจากมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน โดยคาดว่าธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB จะเดินหน้าซื้อสินทรัพย์ตามมาตรการผ่อนคลายทางการเงินหรือ QE
* เศรษฐกิจญี่ปุ่น อาจขยายตัวดีขึ้นกว่าในปี 2558 ที่ได้รับผลกระทบหลักจากการขึ้นภาษีการขาย โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BOJ ยังจำเป็นต้องใช้นโยบาย
การเงินแบบผ่อนคลาย เป็นนโยบายหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เห็นได้จากค่าเงินเยนที่อ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง
* เศรษฐกิจจีน อาจขยายตัวแบบชะลอตัว ในช่วงที่ทางการจีนเดินหน้าปฏิรูประบบเศรษฐกิจ สำหรับปี 2559 ธนาคารกลางจีน หรือ PBOC ยังจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัว
3. แนวโน้มอัตราดอกเบี้ย
สำหรับทิศทางดอกเบี้ยนั้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ที่ระดับ 1.5% ต่อเนื่องตลอดปี 2559 ขณะที่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะทยอยปรับขึ้นในเดือนธันวาคมนี้ และในปีหน้า อยู่ที่ 0.5-1%
ในมุมของผู้บริโภคต่อทิศทางดอกเบี้ยไทย ผู้ที่กำลังตัดสินใจขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยหรือผู้ที่กำลังจะ Refinance อาจเลือกสินเชื่อที่มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่เพื่อลดภาระดอกเบี้ยจ่าย ในมุมของการลงทุน ระยะสั้นอาจเลือกลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น เพื่อลดความเสี่ยงจากโอกาสในการปรับขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่การลงทุนระยะกลางถึงยาวนั้น แนวโน้มผลตอบแทน (Yield) ของตราสารหนี้ระยะกลางมีทิศทางปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลลบต่อกองทุนรวมตราสารหนี้ ดังนั้น แนะนำให้ปรับลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีอายุเกินกว่า 1 ปีขึ้นไปลงในปีหน้า
4. ค่าเงินบาท
ทิศทางค่าเงินบาทยังคงอ่อนค่า โดยคาดว่าค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มอ่อนค่าลงสู่ระดับ 36.75 บาท/ดอลลาร์สหรัฐในช่วงสิ้นปีนี้ และอ่อนค่าลงไปอยู่ที่ 38 บาท/ดอลลาร์สหรัฐในสิ้นปี 2559
การอ่อนค่าของเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐส่งผลดีต่อภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว และจะกระทบต่อคนไทยที่ต้องการใช้จ่ายเงินในต่างประเทศ เช่น กลุ่มผู้ที่ไปเรียนต่อต่างประเทศ นักท่องเที่ยวชาวไทย หรือกลุ่มผู้นำเข้าหรือผู้ซื้อสินค้าจากต่างประเทศที่จะต้องมีต้นทุนที่สูงขึ้น
5. Mega Trend ที่สำคัญในปี 2559
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าภายในปี 2563 อุปกรณ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันจะเชื่อมต่อกันผ่านอินเทอร์เน็ตได้จะเพิ่มสูงขึ้นเป็น 32 พันล้านชิ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ปัจจุบัน Internet of Thing (IoT) ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ หลายประเทศได้เริ่มพัฒนาอุปกรณ์อัจฉริยะเพื่อให้บริการด้านสาธารณสุข เช่น จัดไฟแสงสว่าง สำหรับอาคารสถานที่ การควบคุมการจราจร รวมไปถึงการวัดการหกล้มและการดูแลอย่างอัจฉริยะสำหรับผู้ป่วย เป็นต้น
ตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ที่เริ่มพัฒนาออกมารองรับ เช่น wristband ที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน ทำให้ผู้สวมใส่สามารถทราบข้อมูลเกี่ยวกับระบบต่างๆ ภายในร่างกาย และข้อมูลนี้อาจส่งต่อไปยังแพทย์ได้แบบทันทีหากเกิดอาการความดันโลหิตสูง แพทย์ก็สามารถเขียนใบสั่งยาให้ได้ทันที พร้อมกับจัดส่งยามาถึงบ้านผู้ป่วยได้ในภาย 24 ชั่วโมง หรือตู้เย็นที่สามารถปรับอุณหภูมิได้ด้วยตนเองตามประเภทอาหารที่แช่ และสามารถส่งสัญญาณแจ้งเตือนได้ว่าวัตถุดิบใดที่ใกล้จะหมดแล้ว
* คนไทยเข้าสู่วงจร “แก่-จน-เป็นหนี้”
โครงสร้างประชากรมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนไปในลักษณะ “แก่-จน-เป็นหนี้” กล่าวคือ
1) Aging Society ประเทศไทยจะเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Aged Society)” ภายในอีก 10 ปีข้างหน้า หมายถึงสังคมที่มีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรโดยรวมทั้งประเทศ หรืออายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 14% ของประชากรโดยรวมทั้งประเทศ คำถามที่ตามมาคือ ภาพรวมของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ภาครัฐจะเตรียมความพร้อมด้านสวัสดิการสังคมได้อย่างเพียงพอหรือไม่ ธุรกิจที่อาจเกิดใหม่เพื่อรองรับตลาดผู้สูงอายุจะมีทิศทางอย่างไร และเราจะเตรียมรับมืออย่างไร โดยเฉพาะการวางแผนเกษียณสำหรับตัวเอง
2) Labor Mismatch Problem หรือปัญหาแรงงานที่จบการศึกษาไม่ตรงตามความต้องการของตลาด จากสถิติ กว่า 80% ของผู้จบการศึกษาใหม่ในแต่ละปีอยู่ในสาขาที่เผชิญปัญหาแรงงานล้นตลาด ยกตัวอย่างเช่น ตลาดแรงงานต้องการผู้ที่จบการศึกษาด้านการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (Programmer) ในขณะที่นักศึกษาจบใหม่ส่วนใหญ่ แม้จะจบมาในสาย IT แต่เป็นการเรียนด้าน IT Strategic ซึ่งไม่ตรงกับความต้องการของตลาด เป็นต้น
3) Household Debt หรือ การก่อหนี้ภาคครัวเรือนมีแนวโน้มสูงขึ้น ส่งผลต่อความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยที่ลดลง สาเหตุหลักที่ทำให้หนี้ครัวเรือนไทยสูงขึ้นมาจากหลายปัจจัย เช่น นโยบายคืนภาษีรถยนต์คันแรกของภาครัฐ ภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำซึ่งเอื้อต่อการก่อหนี้ ความต้องการกู้ยืมเพื่อซ่อมแซมหลังน้ำท่วมปี 2554 และการแข่งขันปล่อยสินเชื่อรายย่อยของสถาบันการเงิน
จากภาพรวมทิศทางเศรษฐกิจในปีหน้า (2559) ถือว่ามีแนวโน้มดีกว่าปี 2558 แต่ต้องอยู่บนความระมัดระวัง จากปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ คำแนะนำสำหรับการจัดการเงินอาจกล่าวโดยสรุปได้ดังนี้
* การออม คาดว่าราคาค่าครองชีพมีแนวโน้มสูงขึ้น จากราคาอาหารที่แพงขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากภัยแล้งในประเทศ แนะนำให้เก็บเงินให้มากขึ้น หรืออย่างน้อยควรมีการกันเงินสำรองเผื่อเหตุฉุกเฉินไว้ที่ 6 เท่าของค่าใช้จ่ายประจำต่อเดือนของครอบครัว
* การลงทุน สำหรับการลงทุนในประเทศ ยังได้รับแรงหนุนจากกองทุน LTF ที่มีการต่อนโยบายการลดหย่อนภาษีออกไป โดยภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังมีแนวโน้มที่ดี แต่อาจไม่ร้อนแรงเท่า 2-3 ปีที่ผ่านมา การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังค่อนข้างจำกัด โดยมีแรงขับเคลื่อนหลักมาจากการใช้จ่ายภาครัฐ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มเติบโตได้ เช่น ก่อสร้าง ขนส่ง สื่อสารโทรคมนาคม ส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วน เป็นต้น
ทั้งนี้ แนะนำให้มีการกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศ และแนะนำให้ลงทุนในตลาดสหรัฐฯ หรือญี่ปุ่น ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวได้ต่อเนื่อง
* การกู้ / ขอสินเชื่อ จากทิศทางดอกเบี้ยในปีหน้า ผู้ที่กำลังจะขอสินเชื่อใหม่หรือ Refinance แนะนำให้เลือกสินเชื่อที่มีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่
ทั้งนี้ การวางแผนเกษียณ ภายในอีก 10 ปีข้างหน้าประเทศไทยจะเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Aged Society)” หมายถึงสังคมที่มีสัดส่วนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 20% ของประชากรโดยรวมทั้งประเทศ หรืออายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า 14% ของประชากรโดยรวมทั้งประเทศ ดังนั้น แนะนำให้เริ่มวางแผนจัดการเงินเพื่อเกษียณ โดยจัดสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมด้วยเครื่องมือทางการเงินต่างๆ ทั้งการออม ลงทุน และประกันชีวิต
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *