บลจ.ลุยไฮยิลด์บอนด์ต่างประเทศ SCBAM ชูกองทุน SCBUSHY เตรียมเปิดขายทุกวันทำการ เริ่ม 3 เมษายนนี้ มั่นใจเพิ่มผลตอบแทนช่วงดอกเบี้ยต่ำ หลังพบข้อมูลยิลด์ดีกว่าแถมมูลค่าพื้นฐานเพิ่มสูงกว่าความเสี่ยงของการผิดนัดชำระ ด้าน บลจ.แอสเซทพลัสเปิดขายกองใหม่แก่นักลงทุน AI รับความเสี่ยงได้ เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศกว่า 500 ตัว พร้อมไฮยิลด์อายุ 1-2 ปี เปิดขายระหว่างวันที่ 27 มีนาคม ถึงวันที่ 11 เมษายนนี้ ระบุแนวโน้มดอกเบี้ยขาขึ้น นักลงทุนควรปรับอายุตราสารหนี้เน้นลงทุนไม่เกิน 2 ปี
นายณรงค์ศักดิ์ ปลอดมีชัย กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) ไทยพาณิชย์ จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมการลงทุนตราสารหนี้ในช่วงภาวะอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกาอยู่ในทิศทางขาขึ้นในขณะนี้ว่ายังสามารถลงทุนได้ โดยตราสารที่น่าลงทุนขณะนี้คือ ตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น High Yield ของสหรัฐฯ ซึ่งมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าตราสารหนี้ประเภทอยู่ในอันดับน่าลงทุน (Investment Grade) และตราสารหนี้ในภูมิภาคอื่น โดยข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2559 พบว่าตราสารหนี้ระยะสั้น High Yield ของสหรัฐฯ อายุ 1.7 ปี มีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 2.6% ขณะที่ตราสารหนี้ประเภท Investment Grade ของสหรัฐฯ อายุ 7 ปี อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 0.5% เท่านั้น
นอกจากนี้ ปัจจุบันมูลค่าพื้นฐานของตราสารหนี้ประเภท High Yield สามารถชดเชยความเสี่ยงด้านการผิดนัดชำระหนี้ (Default Risk) ได้ และยังสามารถซื้อขายที่ราคาใกล้ Par ที่ระดับอัตราผลตอบแทนที่เหมาะสมแม้จะอยู่ในช่วงที่ส่วนต่างราคาขยายตัว ส่งผลให้การลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น High Yield ของสหรัฐฯ จึงเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ลงทุนได้อีกช่องทางหนึ่ง
โดยบริษัทอยากแนะนำกองทุนที่เหมาะกับการลงทุนในช่วงนี้ ได้แก่ กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ตราสารหนี้ US Short Duration High Income (SCBUSHY) ซึ่งกำลังจะเปิดให้มีการซื้อขายหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2560 เป็นต้นไป หลังจากได้ทำการเสนอขายครั้งแรกไปแล้วเมื่อวันที่ 20-27 มีนาคม 2560 ที่ผ่านมา
สำหรับกองทุนนี้จะมีนโยบายการลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Allianz US Short Duration High Income Bond : Share class AT (USD) Acc. สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และอาจลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
นายณรงค์ศักดิ์กล่าวอีกว่า ผู้จัดการกองทุนหลักและทีมบริหารการลงทุนของกองทุนแม่ที่บริษัทลงทุนมีความชำนาญในการลงทุนตราสารหนี้ประเภทนี้ และมีประสบการณ์เฉลี่ยมากว่า 19 ปี โดยมีสินทรัพย์ภายใต้กลยุทธ์นี้กว่า 2.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ยังเน้นการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของผลตอบแทนและภายใต้ความผันผวนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น High Yield ของสหรัฐฯ โดยมีกระบวนการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ เน้นการทำ Credit Research เพื่อเฟ้นหาตราสารหนี้ High Yield ระยะสั้นที่มีคุณภาพดี
ด้านนายรัชต์ โสดสถิตย์ กรรมการผู้จัดการ บลจ. แอสเซท พลัส จำกัด กล่าวว่า จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ผนวกกับการส่งสัญญาณที่อาจปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปีนี้ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะปานกลาง-ระยะยาวปรับตัวลดลง ผู้ลงทุนจึงควรลดสัดส่วนการลงทุนในตราสารหนี้กลุ่มดังกล่าว และเลือกกระจายการลงทุนไปในตราสารหนี้ที่มีอายุเฉลี่ย (Duration) ไม่เกิน 2 ปีเพื่อลดความผันผวนจากอัตราผลตอบแทนในสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น
ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนผ่านตราสารหนี้ทั่วโลกให้แก่ผู้ลงทุนกลุ่ม AI ที่ยังคงต้องการโอกาสรับผลตอบแทนสูงจากการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น-ปานกลางในสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น บริษัทจะเสนอขายกองทุนเปิดแอสเซทพลัส ตราสารหนี้ต่างประเทศพลัส ในวันที่ 27 มีนาคม-11 เมษายน 2560 โดยผู้ลงทุนในช่วง IPO จะได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมการขาย
กองทุนนี้มีจุดเด่นที่สามารถตอบโจทย์การลงทุนในสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นได้ทั้งในแง่โอกาสรับผลตอบแทนที่น่าสนใจและในแง่ของสภาพคล่อง เนื่องจากมีกลยุทธ์ในการคัดเลือกตราสารหนี้ทั่วโลกและบริหารจัดการกองทุนเพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนให้สูงกว่าเงินฝากธนาคารพาณิชย์ หุ้นกู้ระยะกลางและระยะยาวในประเทศ รวมถึงกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศทั่วไป โดยกองทุนจะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ High Yield ในต่างประเทศที่มี Duration 1-2 ปี ควบคู่ไปกับการเสริมสภาพคล่องด้วยการกระจายการลงทุนไปในกองทุนรวมตราสารหนี้ในต่างประเทศหรือตราสารหนี้ที่มีสภาพคล่องสูง กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
เบื้องต้นคาดว่าจะลงทุนส่วนใหญ่ในกองทุนตราสารหนี้ต่างประเทศที่กระจายการลงทุนไปในตราสารหนี้กว่า 500 ตัวภายใต้การบริหารของ AXA Investment Managers