กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม ดันผู้ประกอบการไทยบุกตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) นำร่องอุตสาหกรรมที่มีความต้องการของกลุ่มประเทศดังกล่าว ชี้อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนประกอบ มาแรง เชื่อผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพเพียงพอที่จะสามารถส่งออกในอุตสาหกรรมเหล่านี้ได้
ดร.สมชาย หาญหิรัญ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมไทยเป็นที่ยอมรับและได้รับความนิยมจากทั่วโลก เนื่องจากสินค้าดีมีคุณภาพ แต่ผู้ประกอบการไทยยังคงยึดติดกับประเทศคู่ค้าเดิมๆ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหญ่ เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ฯลฯ ขณะที่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) อย่าง อินเดีย อิหร่าน แอฟริกาใต้ ก็มีความน่าสนใจไม่น้อย โดยพิจารณาจากอัตราการเติบโตของ GDP ในช่วง 5 ปีนี้ (2556-2560) สูงขึ้นร้อยละ 3-5 และได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกไม่มากนัก เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศมีความเข้มแข็งทางการรวมกลุ่มในภูมิภาคเดียวกันและมีกำลังซื้อสูง หากได้คู่ค้าจากหนึ่งประเทศในกลุ่มนี้ก็มีโอกาสขยายตลาดไปยังประเทศอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกันได้ ประกอบกับประเทศเหล่านี้ยังขาดแคลนวัตถุดิบ และขาดแรงงานที่มีทักษะฝีมือ ขณะที่ความต้องการสินค้ายังมีอยู่มากส่งผลให้ต้องการนำเข้าสินค้าสูง
ดร.สมชายกล่าวต่อว่า กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) เห็นโอกาสในการผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ภาคอุตสาหกรรม SMEs ไทย โดยมีเป้าหมายสนับสนุนให้ผู้ประกอบการภาคการผลิตตื่นตัวและหันมาสนใจผลิตสินค้าตอบโจทย์ตลาดเกิดใหม่ ซึ่งมี 3 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีโอกาสในกลุ่มตลาดดังกล่าว ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมอาหารและเกษตรแปรรูป อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนประกอบ ซึ่ง 3 อุตสาหกรรมดังกล่าวเป็นซูเปอร์คลัสเตอร์ (Super Cluster) ตามที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติสิทธิประโยชน์ด้านการค้าการลงทุนเพื่อให้ภาคการผลิตของไทยสามารถแข่งขันได้ โดยยกเว้นภาษีสูงสุด 15 ปี
ทั้งนี้ ตลาดเกิดใหม่ที่น่าจับตามองสำหรับผู้ประกอบการไทย ได้แก่ แอฟริกาใต้ ซึ่งมีจำนวนประชากรกว่า 50 ล้านคน และเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจของโลกไม่มากนัก อีกทั้งเป็นประเทศคู่ค้าอันดับ 23 ของไทยในระดับโลกยิ่งไปกว่านั้น แอฟริกาใต้ยังเป็นหนึ่งในประเทศกลุ่มบริกส์ (BRICS) (บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน แอฟริกาใต้) ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และยังเป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าไปยังภูมิภาคแอฟริกาซึ่งมีประชากรรวมกว่าพันล้านคน นอกจากนี้ ยังมีภูมิภาคตะวันออกกลางและเอเชียใต้ที่มีความน่าสนใจไม่น้อยในแง่ของการเข้าไปเปิดตลาด เช่น อินเดีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี อิหร่าน อียิปต์ โดยเฉพาะสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เป็นหนึ่งในสมาชิกโอเปกที่มีรายได้หลักมาจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ขณะที่ศักยภาพในการผลิตเพื่อการบริโภคยังไม่เพียงพอ จึงเป็นโอกาสดีที่ผู้ประกอบการไทยจะขยายตลาดเพื่อป้อนเข้าสู่ประเทศเหล่านี้มากขึ้น
“ที่ผ่านมาจากเหตุการณ์ที่กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ทั้งในด้านสภาวะค่าเงินที่แข็งและอ่อนตัว ส่งผลให้ GDP ของไทยเติบโตเพียงร้อยละ 2-3 และส่งผลต่อการส่งออกที่ขยายตัวลดลง โดยในช่วงไตรมาสที่ 1-3 (เดือนมกราคม-กันยายน) ที่ผ่านมามีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 161,563 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.98 (ที่มา : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร) ขณะที่มูลค่าการส่งออกดังกล่าวประเทศไทยมีการส่งออกไปยังประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจอย่างสหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดหลักรวมกว่า 48,182 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 29.8 ของการส่งออกของไทยทั้งหมด ในขณะที่ส่งออกไปประเทศตลาดเกิดใหม่เพียงร้อยละ 19 หรือประมาณ 30,623 ล้านเหรียญสหรัฐ (ที่มา : กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ)” ดร.สมชายกล่าวทิ้งท้าย
ด้านนายธงชัย อุพันวัน กรรมการผู้จัดการ บริษัทไฟว์สตาร์ ออโต้พาร์ท จำกัด (โชว์จุ่งกรุ๊ป) ผู้ผลิต จำหน่าย และบริการเกี่ยวกับช่วงล่างลูกหมากรถยนต์ ภายใต้เครื่องหมายการค้า “ตองสาม” (333) และ ซีเจ จีเนี่ยนพาร์ท (CJ) กล่าวว่า กลุ่มลูกค้าหลักของไฟว์สตาร์มีทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นสัดส่วนร้อยละ 80 และ 20 ตามลำดับ โดยต่างประเทศจะเน้นภูมิภาคเอเชียใต้ แอฟริกา และตะวันออกกลาง โดยเฉพาะประเทศอียิปต์ที่มีสัดส่วนส่งออกสูงสุดถึงร้อยละ 70 เนื่องจากตลาดอียิปต์นิยมเปลี่ยนอะไหล่เอง เพราะรถส่วนมากที่ใช้เป็นรถเก่าไม่นิยมนำเข้ารถทั้งคัน และจากการสอบถามลูกค้าอียิปต์มีความมั่นใจสินค้าไทยที่คุณภาพมาตรฐานสูงโดยวางแผนจะผลักดันยอดการส่งออกให้มากขึ้นเป็นร้อยละ 50 ภายใน 5 ปี รวมถึงจะมุ่งไปที่กลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging markets) ร้อยละ 30 เนื่องจากหลังจากที่เริ่มไปทำตลาดได้ระยะหนึ่งก็มองเห็นช่องว่างในการเข้าไปทำการตลาดในกลุ่มประเทศดังกล่าวที่ยังมีคู่แข่งน้อย ขณะที่ความต้องการของผลิตภัณฑ์ยังคงมีมากได้โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์อะไหล่ทดแทนในอุตสาหกรรมยานยนต์ สาเหตุจากภูมิประเทศของกลุ่มประเทศเหล่านี้ส่วนมากสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างถนนยังไม่พัฒนาเท่าที่ควรทำให้ส่งผลต่ออายุการใช้งานของรถยนต์ จึงเป็นโอกาสดีที่จะขยายตลาดเพื่อครองส่วนแบ่งการตลาดในกลุ่มประเทศดังกล่าวให้มากขึ้น
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *