บริษัท ไอบริก จำกัด ร่วมกับ BMI Consultants และ BM Intelligence Group, ฮ่องกง สนับสนุนโดยบริษัท เรียลมูฟ จำกัด ได้ร่วมจัดฟรีสัมมนาเพื่อติดอาวุธให้แก่ SMEs ไทย ในหัวข้อ “เปลี่ยนแนวรับ ปรับแนวรุก : ทางลัดสู่ความสำเร็จในตลาดจีนและตลาดโลก (On the Fast Track to Success in China and Global Markets)
มร.เทอเรนซ์ ฮอง กรรมการผู้จัดการ BMI Consultants, ฮ่องกง วิเคราะห์ตลาดการลงทุนจีน ในงานสัมมนาเพื่อติดอาวุธให้แก่ SMEs ไทยในหัวข้อ “เปลี่ยนแนวรับ ปรับแนวรุก : ทางลัดสู่ความสำเร็จในตลาดจีนและตลาดโลก (On the Fast Track to Success in China and Global Markets) โดยคาดการณ์ตลาดจีน ดังนี้
1. จีนจะมีความแข็งแกร่งในระยะยาว
2. คาดการณ์ 15 ปีข้างหน้า สหรัฐอเมริกาจะด้อยความสำคัญลงในฐานะผู้นำโลก โดยมีมูลค่าของผลผลิตประชาชาติ 25 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
3. เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าร้อยละ 30 ของเศรษฐกิจโลกจะลดลงเหลือร้อยละ 20 ในปี 2030
4. ส่วนขนาดเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปัจจุบันที่มีมูลค่าประมาณ 6 ล้านล้าน เป็น 6.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในอีก 15 ปีข้างหน้า
5. คาดการณ์ว่าญี่ปุ่นจะถูกอินเดียแซง โดยคาดว่าอินเดียจะมีขนาดเศรษฐกิจถึง 6.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2030
6. ในสองทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจของจีนขยายตัวมากกว่า 7 เท่า จากเดิมที่มีขนาด GDP ต่ำกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปัจจุบัน
7. ปัจจุบันขนาดเศรษฐกิจจีนเท่ากับ 22.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ น้อยกว่าสหรัฐฯ ราว 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
8. คาดกาณ์ว่าขนาดเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวเท่ากับมูลค่า 15 ล้านล้าน ภายใน 15 ปี มากกว่ามูลค่าเศรษฐกิจปัจจุบันของบราซิล ญี่ปุ่น และเยอรมนีรวมกัน
จากการที่เศรษฐกิจของจีนยังมีช่องว่างที่จะเติบโตอีกมาก ผนวกกับชนชั้นกลางและกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น จึงถือเป็นโอกาสทางการตลาดที่สำคัญของธุรกิจไทยที่ไม่ควรพลาด
.มร.ฮองแนะนำการลงทุนในจีน
1.ตลาดซื้อขายตราสารทุนเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Equity Exchange หรือ SEE และการจดทะเบียนใน SEE ได้รับความนิยมสูงมาก ไม่เพียงแค่จากจีน ต่างประเทศก็นิยมเช่นกัน โดยมีระเบียบและขั้นตอนในการเข้าจดทะเบียนที่ไม่ซับซ้อนมากนักใช้ระยะเวลาเพียง 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละบริษัท นักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุนใน SEE ได้นั้นจะไม่ใช่กลุ่ม retail investors รายใดก็ได้ แต่ต้องมี net worth มากกว่า 500,000 RMB หรือเป็นกลุ่มนักลงทุนแบบ institutional มากกว่าสัดส่วนโดยปกติของตลาดหุ้นทั่วไป
2. กลุ่มบริษัทไทยที่จีนให้ความสนใจจะเป็นกลุ่มธุรกิจ ด้านไอที อินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ การศึกษาที่ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (IT, Internet, Software, E-learning education), ที่ปรึกษา/บริการทางการเงิน การลงทุน (Financial/investment consulting), สมุนไพรสรรพคุณเป็นยา, เครื่องเทศ (Medicinal herbs, spices), การแพทย์ทางเลือก/การแพทย์แบบองค์รวม (Alternative medicine/holistic medicine), เครื่องหอม ผลิตภัณฑ์สปา เครื่องสำอางจากธรรมชาติ (Perfumery, spa products, organic cosmetics), เทคโนโลยีชีวภาพ (Bio-technology), อาหารสำเร็จรูป หรืออาหารไทยแปรรูป (Ready-to-eat food, processed Thai food), บริการดูแลเด็ก/คนสูงอายุ (Child care/elderly care)
“สำหรับโอกาสที่กลุ่มธุรกิจไทยจะได้รับจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดซื้อขายตราสารทุนเซี่ยงไฮ้ (SEE) คือภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือ และที่สำคัญคือโอกาสทางธุรกิจทั้งในด้านการระดมทุน การจับคู่ทางธุรกิจ การขยายตัวและการสร้างคู่ค้าใหม่ๆ ในตลาดโลกได้อย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งสินค้าไทยใน 8 กลุ่มข้างต้นถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่จีนให้ความสนใจเนื่องจากเป็นธุรกิจที่ไม่ได้แข่งขันด้วยปริมาณสินค้า แต่แข่งขันในเรื่องของการบริการ นวัตกรรม ศิลปวัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์ที่จะช่วยต่อยอดธุรกิจได้อย่างมีมูลค่าในตลาดได้ในอนาคต”
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *