โดย : ปิ่น บุตรี(pinn109@hotmail.com)
“ซินจ่าว”(Xin Chao-สวัสดี)
คำกล่าว“สวัสดี”ในภาษาเวียดนามดังขึ้นต้อนรับพวกเราหลังจากที่ผมเดินทางมาถึงยัง“เมืองเว้”(Hue) อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวขึ้นชื่อของประเทศเวียดนาม
1...
เว้ เป็นเมืองหลักของ จังหวัด“เถื่อ เทียน เว้”(Thua Thien-Hue) ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ มี“แม่น้ำหอม” หรือ“ซมเฮือง”(Song Huong-Perfume River) ไหลผ่านกลางเมืองเป็นดังเส้นเลือดหลักของชาวเว้
เดิมทีเว้เป็นเมืองเล็กๆอยู่ใจกลางประเทศ ก่อนที่จะเติบโตพัฒนาขึ้นมาจนกลายเป็นเมืองหลวง ก่อตั้งโดย“ราชวงศ์เหวียน”(คนไทยมักออกเสียงเป็นเหงียน) หลังจากอาณาจักรจามปาล่มสลายลง โดยมีองค์ปฐมกษัตริย์หรือจักรพรรดิองค์แรกคือ “เหวียนฮวาง” หรือ ที่คนไทยรู้จักกันดีในนามองค์เชียงสือที่ได้เคยลี้ภัยกบฏมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 อยู่ราว 4 ปี
จากนั้นองค์เชียงสือได้กลับคืนถิ่นฐานไปปราบกบฏรวบรวมดินแดนเหนือ-ใต้ เข้าเป็นหนึ่งเดียว และเรียกชื่อใหม่ว่า “เวียดนาม” พร้อมกับสถาปนาตนเองเป็น“จักรพรรดิยาลอง” ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหวียน โดยตั้งเมืองเว้เป็นราชธานีหรือเมืองหลวง
เว้ดำรงฐานะเป็นเมืองหลวงของเวียดนามผ่านความเจริญรุ่งโรจน์และโรยราอยู่ 143 ปี(พ.ศ. 2345-2488) ก่อนที่จะตกเป็นเมืองขึ้นอยู่ใต้อาณานิคมของฝรั่งเศส แล้วญี่ปุ่นก็เข้ามาโจมตีฝรั่งเศสยึดครองอีกเป็นเวลาสั้นๆ ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
จากนั้นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกาได้เข้ามาแทรกแซง จนเวียดนามถูกแบ่งเป็นเวียดนามเหนือ-ใต้ โดยเวียดนามเหนือมีจีนให้การสนับสนุนในแบบคอมมิวนิสต์ ส่วนเวียดนามใต้อเมริกาสนับสนุนในแบบประชาธิปไตย ซึ่งสุดท้ายอเมริกาและเวียดนามใต้แพ้ เวียดนามเหนือภายใต้การนำของวีรบุรุษ“โฮจิมินห์”(นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีคนแรก)ประกาศชัยชนะ รวมเวียดนามเหนือ-ใต้เป็นหนึ่ง ร่วมสร้างชาติด้วยกันใหม่โดยในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 ได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น “สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม” มาจนทุกวันนี้
สำหรับเว้อดีตเมืองหลวง ด้วยความที่ร่องรอยอารยธรรมอันรุ่งโรจน์และเป็นเอกลักษณ์แต่เก่าก่อนยังคงอยู่ควบคู่ไปกับวิถีร่วมสมัย ทำให้องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เมืองเว้เป็น“มรดกโลก”ในปี พ.ศ. 2536
นับเป็นการเปิดมิติใหม่ของเมืองเว้ในฐานะเมืองท่องเที่ยวสำคัญของประเทศเวียดนาม ที่ดึงดูดผู้คนให้มาสัมผัสในมนต์เสน่ห์ของ“เมืองมรดกโลกมีชีวิต” แห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก
2...
แม้เว้จะเป็นอดีตเมืองหลวงเก่าที่อวลไปด้วยเสน่ห์แห่งประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และร่องรอยแห่งความรุ่งโรจน์ในอดีต
แต่เว้ในวันนี้ถือว่ากำลังโตวันโตคืน มีการขยายเมืองเพื่อรองรับการเดินหน้าเข้าสู่“ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” หรือ “เออีซี” (AEC) ซึ่งล่าสุดได้มีสายการบิน “นิว เจน แอร์เวย์ส” ทำการเปิดบินตรง “กรุงเทพฯ-เว้” โดยจากสนามบินดอนเมือง กรุงเทพฯ บินตรงประมาณ 1.40 ชั่วโมงไปลงยังสนามบิน“ฟู บ่าย”(Phu Bai) ของเมืองเว้ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ในการเดินทางสู่เวียดนามตอนกลางได้อย่างสะดวกรวดเร็วขึ้นในราคาไม่สูงและสมเหตุสมผล
สำหรับการมาเที่ยวเมืองเว้ของผมในทริปนี้ เราเลือกพักที่โรงแรม (Century Riverside-4 ดาว) ซึ่งเป็นโรงแรมที่คนไทยนิยมมาพัก เพราะตั้งอยู่ในทำเลที่ดีเยี่ยม คือตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำหอม ณ บริเวณที่เป็นย่านศูนย์กลางทางการท่องเที่ยวสำคัญของเมืองอันเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความคึกคัก ให้อารมณ์ประมาณลูกๆถนนข้าวสาร กรุงเทพฯ หรือน้องๆถนนนิมมานเหมินทร์ ที่เชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวแบ็กแพกเกอร์เป็นจำนวนมาก โดยในย่านนี้นั้นมากไปด้วยร้านอาหาร ร้านเหล้า บาร์เบียร์ ร้านเสื้อผ้า ร้านขายของที่ระลึก โรงแรม ที่พัก และบริการอื่นๆที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวอีกหลากหลาย
ในตอนกลางวันย่านนี้อาจดูเนิบ เนือยๆ เรื่อยๆ มาเรียงๆ ชิลล์ๆ มีวิถีของชาวเวียดนามให้ชมมากว่า ไม่ว่าจะเป็นร้านนั่งยองริมทางสไตล์เวียดนาม ขายอาหาร เครื่องดื่ม หรือในร้านของชำที่มีหนุ่มๆมานั่งตั้งวงสนทนาและดริงก์เบียร์ยี่ห้อท้องถิ่นกันแต่หัววัน
ส่วนที่ถือเป็นดังสีสันโฉบไป-มานั่นก็คือกิจกรรมนั่งรถ“ซิกโคล่”(Cyclo) รถสามล้อสไตล์เวียดนามที่ชาวต่างชาตินิยมนั่งซิกโคล่ทัวร์เมืองกันเป็นจำนวนมาก ขณะที่กรุ๊ปทัวร์ไทยนั้นก็นิยมจัดกิจกรรมนั่งซิกโคล่ทัวร์เมืองแบบเป็นหมู่คณะด้วยเช่นกัน โดยจะนั่งซิกโคล่แบบคาราวานเป็นแถวยาวไปตามจุดท่องเที่ยวต่างๆที่ทางบริษัททัวร์ได้ตกลงจัดหามาให้ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์แห่งเวียดนามกับการนั่งรถสามล้อที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สารถีคนขับ(คนถีบ)อยู่หลัง คนนั่งอยู่หน้า ถ้ามีปัญหารถชน คนนั่งโดนก่อน แต่เท่าที่ผมไปเห็นมา ยังไม่มีซิกโคล่คันไหนชน ถูกชน หรือประสบอุบัติเหตุ เห็นก็เพียงมีสารถีซิกโคล่เถียงกับนักท่องเที่ยวเรื่องตกลงราคากันไม่ได้เท่านั้น
ครั้นเมื่อเวลาเดินทางมาถึงช่วงเย็นย่ำ พลบค่ำ ไปจนถึงเมื่อราตรี ย่านนี้จะเต็มไปด้วยแสงสีความคึกคักครึกครื้น ร้านเหล้า บาร์เบียร์มีคนนั่งกันเป็นจำนวนมาก ทั้งชาวเวียด ฝรั่ง ต่างชาติจำนวนมาก(รวมทั้งผมกับเพื่อนๆ) ที่มาเยือนเมืองเว้ ต่างก็หาร้านที่คิดว่าใช่นั่งดื่มกินละเลียดราตรีที่อีกยาวไกล ไปจนกว่าจะได้ที่ ได้เวลาแยกย้ายหลับนอน
บริเวณย่านดาวน์ทาวน์แถว รร.เซ็นจูรี่ฯ ที่ผมกับคณะพัก ยังมีสิ่งน่าสนใจสำคัญนั่นก็คือ “สะพานตรัง เทียน”(Troung Tien-ภาษาเวียดนามออกเสียง เจือง เทียน) หรือสะพานเงินที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ประจำเมืองอีกทั้งยังเป็นแลนมาร์คสำคัญของเมือง
สะพานตรัง เทียน มีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี เป็นสะพานโครงสร้างเหล็กรูปทรงคลาสสิก ยามค่ำคืนจะมีการฉายแสงไฟย้อมสะพานแห่งนี้ในหลากสีสัน จนหลายๆคนมักเรียกสะพานตรัง เทียน ว่าเป็นสะพานเปลี่ยนสี
บริเวณสะพานตรัง เทียน ในยามเย็นไปจนถึง 2-3 ทุ่ม จะเป็นถนนคนเดินมีสินค้าหลากหลายมาวางขาย ทั้งอาหารการกิน เสื้อผ้า ของที่ระลึก
ขณะเชิงสะพานทางฝั่ง รร.เซ็นจูรี่ฯ ก็จะมีสวนสาธารณะ ให้ชาวเวียดและนักท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งในช่วงเย็นๆที่นี่จะดูคึกคัก มีเด็กๆวัยรุ่นมาทำกิจกรรมกันหลากหลาย จนครั้นเมื่อรัตติกาลมาเยือนก็จะมีวัยรุ่นหนุ่มสาวหลายๆคู่มานั่งจู๋จี๋พลอดรักในสไตล์เวียดนาม ที่ตามสวนสาธารณะเมืองใหญ่ๆต่างก็มีลักษณะแบบนี้คล้ายคลึงกันจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของเวียดนามไปแล้ว
สะพานตรัง เทียน เป็นสะพานที่สร้างทอดยาวข้ามลำน้ำหอมที่ไหลผ่านกลางเมือง ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดหลักของชาวเมืองเว้ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมือง โดยในลำน้ำหอมนั้นก็จะมีกิจกรรม นั่งเรือหัวมังกรชมทัศนียภาพ ที่มีคณะนักท่องเที่ยวมานั่งเรือล่องแม่น้ำหอมกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ โดยผมกับคณะมีโอกาสได้ไปล่องเรือทานอาหารกลางน้ำในช่วงหัวค่ำ ซึ่งบนเรือนอกจากจะมีอาหารเวียดนามในแบบเมืองเว้ให้หม่ำแล้วก็ยังมีการแสดงดนตรีพื้นเมืองให้ชม ให้ฟังกัน
งานนี้แม้จะฟังไม่รู้เรื่องก็ไม่เป็นไร เพราะไฮไลท์นั้นอยู่ที่ 3 นักร้องคนสวยที่มาสร้างสีสันจนหนุ่มๆไทยในคณะหัวใจแทบละลายกันเลยทีเดียว
3...
จากบรรยากาศของเมืองใหม่ ทีนี้ถึงครามาสัมผัสกับมนต์เสน่ห์แห่งประวัติศาสตร์จากความเก่าแก่ สวยงาม คลาสสิก ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ของเมืองมรดกโลก เว้ กันบ้าง
เริ่มกันที่หนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองอย่าง “วัดเทียนมู่” (Thien Mu) ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอม ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนานิกายเซนมาตั้งแต่โบราณ
คำว่า เทียนมู่ แปลว่า เทพธิดา นักท่องเที่ยวชาวไทยจึงนิยมเรียกวัดแห่งนี้ในภาษาไทยว่า “วัดเทพธิดาราม”
ภายในวัดเทียนมู่มีเจดีย์เทียนมู่เป็นไฮไลท์ตั้งตระหง่านโดดเด่น เจดีย์องค์นี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2144 ในสมัยขุนนางเหวียนฮวาง (Nguyen Hoang) ด้วยงานสถาปัตยกรรมแบบจีน เป็นเจดีย์ทรง 8 เหลี่ยม สูง 21 เมตร มีทั้งหมด 7 ชั้น แต่ละชั้นเป็นดังตัวแทนของชาติภาพต่างๆ สร้างขึ้นใน ค.ศ.1601
ขณะที่ด้านข้างซ้าย-ขวา เป็นที่ตั้งของศิลาจารึกใหญ่และระฆังสำริดขนาดใหญ่หนักถึง 2,000 ก.ก. ด้านหลังของเจดีย์เป็นประตูทางเข้าสู่วัด ประดิษฐานพระพุทธรูป พระสังกัจจายน์ เทวรูป ในบรรยากาศขรึมขลังมีคนเข้ามาทำบุญกันไม่ได้ขาด
ส่วนเมื่อเดินต่อไปทางซ้ายมือจะได้พบกับ“รถออสตินสีฟ้า” ที่ทางวัดเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ เพราะถือเป็นรถคันประวัติศาสตร์ เนื่องจากในปี พ.ศ. 2506 พระภิกษุทิกกวางหยก เจ้าอาวาสของวัดเทียนมู่ ได้นั่งรถออสตินคันนี้ไปประท้วงรัฐบาลโงดินห์เดียม(ภายใต้การชักใยของอเมริกา)ที่มีการคอร์รัปชั่นกันอย่างมโหฬารอีกทั้งยังบังคับให้ชาวเวียดนามใต้หันไปนับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก รวมถึงมีการใช้ความรุนแรงต่างๆ ท่านเจ้าอาวาวัดเทียนมู่ไม่ประท้วงรัฐบาลเปล่า แต่หากยังราดน้ำมันเผาตัวเอง ณ กลางกรุงไซ่ง่อน หรือโฮจิมินห์ซิตี้ในปัจจุบัน จนกลายเป็นตำนาน ส่งผลให้วัดเทียนมู่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองในยุคหลังสงครามเวียดนามอีกด้วย
จากวัดเทียนมู่เราไปดูสิ่งก่อสร้างโบราณอันสำคัญคู่บ้านคู่เมืองเว้กันบ้างที่ “นครจักรพรรดิ” หรือ “นครต้องห้าม” หรือที่บางคนก็เรียกว่า “พระราชวังหลวง”
นครจักรพรรดิ เคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์ราชวงศ์เหวียนแห่งเว้ทั้งหมด 13 พระองค์ ในระหว่างปี พ.ศ. 2345-2488 โดย“จักรพรรดิยาลอง”ปฐมกษัตริย์แห่งเว้เป็นผู้สถาปนานครแห่งนี้ ขณะที่กษัตริย์องค์สุดท้ายคือ “พระเจ้าบ๋าวได่” ที่ทรงสละราชบัลลังก์ ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นเวียดนามในปัจจุบัน
นครจักรพรรดิ ออกแบบตามความเชื่อของจีน มีผังเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีกำแพงสูง 3 ชั้นล้อมรอบ มีกำแพงกิงห์แทงหรือกำแพงนอกตั้งตระหง่าน มีทางเข้า 10 ประตู แต่ละประตูมีหอหอยอยู่ เมื่อผ่านกำแพงชั้นนอกเข้าไป จะได้พบกับ “ซุนทางกง” หรือปืนใหญ่ 9 เทพเจ้า อันได้แก่ 5+4 ที่หมายถึง ตัวแทนของธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ไม้ ไฟ และโลหะ กับตัวแทนของฤดูกาลทั้ง 4 ใน 1 ปี
ผ่านจากกำแพงชั้นนอกเข้ามา จะเป็นกำแพงชั้นกลาง หรือ กำแพงเหลือง ที่มี่ประตูทางเข้า 4 ทาง มีประตูสำคัญคือ ประตู “โหงะโมน” หรือ ประตูเที่ยงวัน ที่สร้างขึ้นในครั้งแรกด้วยหินแกรนิตในสมัยพระเจ้ามินห์หม่าง ขณะที่ฝั่งตรงข้ามของประตูจะเป็นลานจัตุรัสกว้างใหญ่ เห็นป้อมปราการและเสาธงตั้งตระหง่าน
ประตูโหงะโมนเป็นประตูที่นักท่องเที่ยวต้องตีตั๋วเข้าสู่ชั้นต่อไปในพระราชวัง เป็นประตูสัญลักษณ์แห่งนครจักรพรรดิที่ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการบูรณะซ่อมแซม
ผ่านจากกำแพงชั้นกลางเข้าไปก็เป็นกำแพงตือกามแทงห์หรือกำแพงชั้นใน ซึ่งเดิมเป็นเขตเฉพาะสำหรับกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์เท่านั้น แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ จากจุดนี้ไปจะเป็นสะพานทางเดินข้ามน้ำไปสู่ “พระราชวังไทเฮา” ที่ด้านหน้าน่ายลไปด้วยต้นลีลาวดีหรือลั่นทมทอดกิ่งสวยงาม
พระราชวังไทเฮา เป็นส่วนสำคัญที่สุดของนครจักรพรรดิ เป็นที่ต้อนรับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ต้อนรับพระราชอาคันตุกะ ต้อนรับนักการทูตจากต่างประเทศ รวมถึงใช้เป็นที่จัดงานฉลองสำคัญต่างๆ
ผ่านจากพระราชวังไทเฮาไปก็จะเป็นลานกว้าง มีสิ่งน่าสนใจตามจุดต่างๆให้เที่ยวชม พิพิธภัณฑ์ที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ของกษัตริย์ ท้องพระโรงจำลองที่วันนี้กลายเป็นที่เปลี่ยนจุดถ่ายรูปของนักท่องเที่ยว มีกำแพงด้านหลังที่เมื่อเข้าไปจะเป็นลานกว้าง วันนี้อยู่ในการบูรณะปรับปรุงสถานที่
นอกจากนี้ในนครจักรพรรดิในเขตกำแพงชั้นกลางยังมีวัดต่างๆอยู่ไม่น้อย วัดเหล่านี้สร้างอุทิศให้กับบรรดาขุนนาง โดยมี วัดสำคัญ คือ “วัดเถเหมียว”(The Mieu) ที่ภายในเป็นที่ตั้งป้ายกษัตริย์ 9 รัชกาล โดยมีกระถางเก็บโกศ 9 ใบทางด้านหน้า ถือเป็นวัดยังคงสภาพดี มีความสวยงาม น่าแวะเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง
นับได้ว่านครจักรพรรดิเป็นมรดกตกทอดทางวัฒนธรรมสำคัญ ที่หากใครมาเมืองเว้แล้วไม่ควรพลาดการเที่ยวชมด้วยประการทั้งปวง
4...
ในเมืองเว้ ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญทางการท่องเที่ยวนั่นก็คือ “สุสานจักรพรรดิ” ที่มีผู้คนนิยมไปเที่ยวชมกันเป็นจำนวนมาก โดยสุสานที่เด่นก็มี สุสานจักรพรรดิยาลอง(Gia Long),สุสานจักรพรรดิมินห์หม่าง(Minh Mang),สุสานจักรพรรดิตือ ดึก(Tu Duc) และสุสานจักรพรรดิไคดิ่ง(Khai Dinh) ที่ได้ชื่อว่ามีความยิ่งใหญ่สวยงามสูงสุดเหนือบรรดาสุสานจักรพรรดิทั้งปวง
สุสานจักรพรรดิไคดิ่งมีการผสมผสานงานสถาปัตยกรรมระหว่างตะวันออกกับตะวันตกเข้าด้วยกันอย่างลงตัว(เป็นเพียงสุสานเดียวในเว้ที่มีงานศิลปกรรมตะวันตกเข้ามาผสม) ซึ่งนั่นอาจจะมาจากอิทธิพลของยุคล่าอาณานิยมที่รุกหนักเข้ามาในช่วงนั้น
สุสานจักรพรรดิไคดิ่งสร้างในสมัยพระเจ้าไคดิ่ง(พ.ศ.2431-2468) ที่เตรียมไว้เป็นที่ฝังพระศพของพระองค์ แต่ว่าพระเจ้าไคดิ่งสิ้นพระชนม์ไปก่อน พระเจ้าบ๋าวได่โอรส(บุญธรรม) กษัตริย์องค์ต่อมาจึงสานต่อสร้างตนแล้วเสร็จอย่างสวยงามอลังการงานสร้างมากๆ
สุสานจักรพรรดิแห่งนี้ ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง(ตามความเชื่อของชาวเวียดหลุมฝังศพกษัตริย์ต้องอยู่สูงกว่าสามัญชน) มีบันไดทางขึ้น 127 ขั้น เมื่อผ่านซุ้มประตูอันโอ่อ่าในช่วงแรกขึ้นไปจะพบกับ รูปปั้นหินของทหาร ช้าง ม้า ที่ยืนเด่นเป็นดังองค์รักษ์เฝ้าสุสาน กลางลานมีแผ่นจารึกอักษรจีนโดยพระเจ้าบ๋าวได่เขียนขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระบิดา(พระเจ้าไคดิ่ง)ของพระองค์
จากนั้นเส้นทางจะนำไปสู่ส่วนด้านบนสุดคือ “พระราชวังเทียนดิงห์” อันเป็นที่ตั้งของสุสาน มีรูปปั้นของพระเจ้าไคดิ่งเป็นศูนย์กลาง โดยมีพระศพของพระเจ้าไคดิ่งฝังอยู่ใต้รูปปั้นลึกลงไป 11 เมตร
ภายในสุสานจักรพรรดิชั้นในสุดหรือพระราชวังเทียนดิงห์นั้นมีความวิจิตร อลังการมาก มีการตกแต่งผนังด้วยกระเบื้องเคลือบสีอิทธิพลงานศิลปกรรมจากจีนที่สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างวิจิตรงดงามงาม ประณีต สุดยอดมาก หลายจุดทำเป็นรูปมังกรตามความเชื่อแบบจีนที่เวียดนามได้รับอิทธิพลมา
ขณะที่บนเพดานดูแปลกตาไปกับภาพเขียนสีรูปมังกรในม่านเมฆขนาดใหญ่ที่มีความน่าสนใจไม่น้อย เพราะภาพนี้ศิลปินนั้นให้เท้าคีบพู่กันวาด อันเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่าสามัญชนห้ามยืนศีรษะอยู่สูงกว่ากษัตริย์ทำให้ไม่สามารถยืนใช้มือวาดรูปได้ จึงต้องแก้เคล็ดเป็นสลับกลับหัวมาอยู่ด้านล่างแล้วใช้เท้าวาดแทน(แต่คนที่นี่สมัยก่อนไม่ถือเรื่องเท้าอยู่สูง) จนเกิดเป็นภาพประดับเพดานอันชวนทึ่ง
นอกจากนี้ภายในพระราชวังเทียนดิงห์ ยังมีห้องจัดแสดงภาพและเรื่องราวของพระเจ้าไคดิ่งห์พร้อมด้วยข้าวของเครื่องใช้ และรูปปั้นสำริดขนาดเท่าองค์จริงของพระเจ้าไคดิงห์ ซึ่งทำขึ้นที่ฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2465
และด้วยความงดงาม วิจิตร อลังการของสุสานจักรพรรดิไคดิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็น"สิ่งมหัศจรรย์แห่งเมืองเว้"กันเลยทีเดียว
และนี่ก็คือเสน่ห์ทางการท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยวบางส่วนของเมืองเว้ ซึ่งในเมืองมรดกโลกแห่งนี้ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกหลากหลาย ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวไทยโดยเฉพาะกรุ๊ปทัวร์ไทยนั้น ทริปนี้ดูจะไม่สมบูรณ์ถ้าหากไม่ได้ช้อปปิ้ง โดยจุดชอปปิ้งหลักในเมืองเว้ที่ไม่ควรพลาด(โดยเฉพาะกรุ๊ปทัวร์ชาวไทย)นั่นก็คือที่ “ตลาดดงบา” ซึ่งมีสินค้าสารพัดสารพันหลากหลายให้เลือกซื้อเลือกช้อปกัน อันถือเป็นการปิดทริปเที่ยวแบบไทยๆให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะคนไทยนั้นได้ชื่อว่าเป็นยอดนักช้อปในอันดับต้นๆของโลกอยู่แล้ว
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com
“ซินจ่าว”(Xin Chao-สวัสดี)
คำกล่าว“สวัสดี”ในภาษาเวียดนามดังขึ้นต้อนรับพวกเราหลังจากที่ผมเดินทางมาถึงยัง“เมืองเว้”(Hue) อีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวขึ้นชื่อของประเทศเวียดนาม
1...
เว้ เป็นเมืองหลักของ จังหวัด“เถื่อ เทียน เว้”(Thua Thien-Hue) ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ มี“แม่น้ำหอม” หรือ“ซมเฮือง”(Song Huong-Perfume River) ไหลผ่านกลางเมืองเป็นดังเส้นเลือดหลักของชาวเว้
เดิมทีเว้เป็นเมืองเล็กๆอยู่ใจกลางประเทศ ก่อนที่จะเติบโตพัฒนาขึ้นมาจนกลายเป็นเมืองหลวง ก่อตั้งโดย“ราชวงศ์เหวียน”(คนไทยมักออกเสียงเป็นเหงียน) หลังจากอาณาจักรจามปาล่มสลายลง โดยมีองค์ปฐมกษัตริย์หรือจักรพรรดิองค์แรกคือ “เหวียนฮวาง” หรือ ที่คนไทยรู้จักกันดีในนามองค์เชียงสือที่ได้เคยลี้ภัยกบฏมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 อยู่ราว 4 ปี
จากนั้นองค์เชียงสือได้กลับคืนถิ่นฐานไปปราบกบฏรวบรวมดินแดนเหนือ-ใต้ เข้าเป็นหนึ่งเดียว และเรียกชื่อใหม่ว่า “เวียดนาม” พร้อมกับสถาปนาตนเองเป็น“จักรพรรดิยาลอง” ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์เหวียน โดยตั้งเมืองเว้เป็นราชธานีหรือเมืองหลวง
เว้ดำรงฐานะเป็นเมืองหลวงของเวียดนามผ่านความเจริญรุ่งโรจน์และโรยราอยู่ 143 ปี(พ.ศ. 2345-2488) ก่อนที่จะตกเป็นเมืองขึ้นอยู่ใต้อาณานิคมของฝรั่งเศส แล้วญี่ปุ่นก็เข้ามาโจมตีฝรั่งเศสยึดครองอีกเป็นเวลาสั้นๆ ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2
จากนั้นช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกาได้เข้ามาแทรกแซง จนเวียดนามถูกแบ่งเป็นเวียดนามเหนือ-ใต้ โดยเวียดนามเหนือมีจีนให้การสนับสนุนในแบบคอมมิวนิสต์ ส่วนเวียดนามใต้อเมริกาสนับสนุนในแบบประชาธิปไตย ซึ่งสุดท้ายอเมริกาและเวียดนามใต้แพ้ เวียดนามเหนือภายใต้การนำของวีรบุรุษ“โฮจิมินห์”(นายกรัฐมนตรีและประธานาธิบดีคนแรก)ประกาศชัยชนะ รวมเวียดนามเหนือ-ใต้เป็นหนึ่ง ร่วมสร้างชาติด้วยกันใหม่โดยในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2519 ได้เปลี่ยนชื่อประเทศเป็น “สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม” มาจนทุกวันนี้
สำหรับเว้อดีตเมืองหลวง ด้วยความที่ร่องรอยอารยธรรมอันรุ่งโรจน์และเป็นเอกลักษณ์แต่เก่าก่อนยังคงอยู่ควบคู่ไปกับวิถีร่วมสมัย ทำให้องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เมืองเว้เป็น“มรดกโลก”ในปี พ.ศ. 2536
นับเป็นการเปิดมิติใหม่ของเมืองเว้ในฐานะเมืองท่องเที่ยวสำคัญของประเทศเวียดนาม ที่ดึงดูดผู้คนให้มาสัมผัสในมนต์เสน่ห์ของ“เมืองมรดกโลกมีชีวิต” แห่งนี้กันเป็นจำนวนมาก
2...
แม้เว้จะเป็นอดีตเมืองหลวงเก่าที่อวลไปด้วยเสน่ห์แห่งประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และร่องรอยแห่งความรุ่งโรจน์ในอดีต
แต่เว้ในวันนี้ถือว่ากำลังโตวันโตคืน มีการขยายเมืองเพื่อรองรับการเดินหน้าเข้าสู่“ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” หรือ “เออีซี” (AEC) ซึ่งล่าสุดได้มีสายการบิน “นิว เจน แอร์เวย์ส” ทำการเปิดบินตรง “กรุงเทพฯ-เว้” โดยจากสนามบินดอนเมือง กรุงเทพฯ บินตรงประมาณ 1.40 ชั่วโมงไปลงยังสนามบิน“ฟู บ่าย”(Phu Bai) ของเมืองเว้ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ในการเดินทางสู่เวียดนามตอนกลางได้อย่างสะดวกรวดเร็วขึ้นในราคาไม่สูงและสมเหตุสมผล
สำหรับการมาเที่ยวเมืองเว้ของผมในทริปนี้ เราเลือกพักที่โรงแรม (Century Riverside-4 ดาว) ซึ่งเป็นโรงแรมที่คนไทยนิยมมาพัก เพราะตั้งอยู่ในทำเลที่ดีเยี่ยม คือตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำหอม ณ บริเวณที่เป็นย่านศูนย์กลางทางการท่องเที่ยวสำคัญของเมืองอันเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความคึกคัก ให้อารมณ์ประมาณลูกๆถนนข้าวสาร กรุงเทพฯ หรือน้องๆถนนนิมมานเหมินทร์ ที่เชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวแบ็กแพกเกอร์เป็นจำนวนมาก โดยในย่านนี้นั้นมากไปด้วยร้านอาหาร ร้านเหล้า บาร์เบียร์ ร้านเสื้อผ้า ร้านขายของที่ระลึก โรงแรม ที่พัก และบริการอื่นๆที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวอีกหลากหลาย
ในตอนกลางวันย่านนี้อาจดูเนิบ เนือยๆ เรื่อยๆ มาเรียงๆ ชิลล์ๆ มีวิถีของชาวเวียดนามให้ชมมากว่า ไม่ว่าจะเป็นร้านนั่งยองริมทางสไตล์เวียดนาม ขายอาหาร เครื่องดื่ม หรือในร้านของชำที่มีหนุ่มๆมานั่งตั้งวงสนทนาและดริงก์เบียร์ยี่ห้อท้องถิ่นกันแต่หัววัน
ส่วนที่ถือเป็นดังสีสันโฉบไป-มานั่นก็คือกิจกรรมนั่งรถ“ซิกโคล่”(Cyclo) รถสามล้อสไตล์เวียดนามที่ชาวต่างชาตินิยมนั่งซิกโคล่ทัวร์เมืองกันเป็นจำนวนมาก ขณะที่กรุ๊ปทัวร์ไทยนั้นก็นิยมจัดกิจกรรมนั่งซิกโคล่ทัวร์เมืองแบบเป็นหมู่คณะด้วยเช่นกัน โดยจะนั่งซิกโคล่แบบคาราวานเป็นแถวยาวไปตามจุดท่องเที่ยวต่างๆที่ทางบริษัททัวร์ได้ตกลงจัดหามาให้ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์แห่งเวียดนามกับการนั่งรถสามล้อที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สารถีคนขับ(คนถีบ)อยู่หลัง คนนั่งอยู่หน้า ถ้ามีปัญหารถชน คนนั่งโดนก่อน แต่เท่าที่ผมไปเห็นมา ยังไม่มีซิกโคล่คันไหนชน ถูกชน หรือประสบอุบัติเหตุ เห็นก็เพียงมีสารถีซิกโคล่เถียงกับนักท่องเที่ยวเรื่องตกลงราคากันไม่ได้เท่านั้น
ครั้นเมื่อเวลาเดินทางมาถึงช่วงเย็นย่ำ พลบค่ำ ไปจนถึงเมื่อราตรี ย่านนี้จะเต็มไปด้วยแสงสีความคึกคักครึกครื้น ร้านเหล้า บาร์เบียร์มีคนนั่งกันเป็นจำนวนมาก ทั้งชาวเวียด ฝรั่ง ต่างชาติจำนวนมาก(รวมทั้งผมกับเพื่อนๆ) ที่มาเยือนเมืองเว้ ต่างก็หาร้านที่คิดว่าใช่นั่งดื่มกินละเลียดราตรีที่อีกยาวไกล ไปจนกว่าจะได้ที่ ได้เวลาแยกย้ายหลับนอน
บริเวณย่านดาวน์ทาวน์แถว รร.เซ็นจูรี่ฯ ที่ผมกับคณะพัก ยังมีสิ่งน่าสนใจสำคัญนั่นก็คือ “สะพานตรัง เทียน”(Troung Tien-ภาษาเวียดนามออกเสียง เจือง เทียน) หรือสะพานเงินที่เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ประจำเมืองอีกทั้งยังเป็นแลนมาร์คสำคัญของเมือง
สะพานตรัง เทียน มีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี เป็นสะพานโครงสร้างเหล็กรูปทรงคลาสสิก ยามค่ำคืนจะมีการฉายแสงไฟย้อมสะพานแห่งนี้ในหลากสีสัน จนหลายๆคนมักเรียกสะพานตรัง เทียน ว่าเป็นสะพานเปลี่ยนสี
บริเวณสะพานตรัง เทียน ในยามเย็นไปจนถึง 2-3 ทุ่ม จะเป็นถนนคนเดินมีสินค้าหลากหลายมาวางขาย ทั้งอาหารการกิน เสื้อผ้า ของที่ระลึก
ขณะเชิงสะพานทางฝั่ง รร.เซ็นจูรี่ฯ ก็จะมีสวนสาธารณะ ให้ชาวเวียดและนักท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งในช่วงเย็นๆที่นี่จะดูคึกคัก มีเด็กๆวัยรุ่นมาทำกิจกรรมกันหลากหลาย จนครั้นเมื่อรัตติกาลมาเยือนก็จะมีวัยรุ่นหนุ่มสาวหลายๆคู่มานั่งจู๋จี๋พลอดรักในสไตล์เวียดนาม ที่ตามสวนสาธารณะเมืองใหญ่ๆต่างก็มีลักษณะแบบนี้คล้ายคลึงกันจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของเวียดนามไปแล้ว
สะพานตรัง เทียน เป็นสะพานที่สร้างทอดยาวข้ามลำน้ำหอมที่ไหลผ่านกลางเมือง ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดหลักของชาวเมืองเว้ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมือง โดยในลำน้ำหอมนั้นก็จะมีกิจกรรม นั่งเรือหัวมังกรชมทัศนียภาพ ที่มีคณะนักท่องเที่ยวมานั่งเรือล่องแม่น้ำหอมกันตั้งแต่เช้ายันค่ำ โดยผมกับคณะมีโอกาสได้ไปล่องเรือทานอาหารกลางน้ำในช่วงหัวค่ำ ซึ่งบนเรือนอกจากจะมีอาหารเวียดนามในแบบเมืองเว้ให้หม่ำแล้วก็ยังมีการแสดงดนตรีพื้นเมืองให้ชม ให้ฟังกัน
งานนี้แม้จะฟังไม่รู้เรื่องก็ไม่เป็นไร เพราะไฮไลท์นั้นอยู่ที่ 3 นักร้องคนสวยที่มาสร้างสีสันจนหนุ่มๆไทยในคณะหัวใจแทบละลายกันเลยทีเดียว
3...
จากบรรยากาศของเมืองใหม่ ทีนี้ถึงครามาสัมผัสกับมนต์เสน่ห์แห่งประวัติศาสตร์จากความเก่าแก่ สวยงาม คลาสสิก ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์ของเมืองมรดกโลก เว้ กันบ้าง
เริ่มกันที่หนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองอย่าง “วัดเทียนมู่” (Thien Mu) ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหอม ซึ่งเป็นศูนย์กลางทางพุทธศาสนานิกายเซนมาตั้งแต่โบราณ
คำว่า เทียนมู่ แปลว่า เทพธิดา นักท่องเที่ยวชาวไทยจึงนิยมเรียกวัดแห่งนี้ในภาษาไทยว่า “วัดเทพธิดาราม”
ภายในวัดเทียนมู่มีเจดีย์เทียนมู่เป็นไฮไลท์ตั้งตระหง่านโดดเด่น เจดีย์องค์นี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2144 ในสมัยขุนนางเหวียนฮวาง (Nguyen Hoang) ด้วยงานสถาปัตยกรรมแบบจีน เป็นเจดีย์ทรง 8 เหลี่ยม สูง 21 เมตร มีทั้งหมด 7 ชั้น แต่ละชั้นเป็นดังตัวแทนของชาติภาพต่างๆ สร้างขึ้นใน ค.ศ.1601
ขณะที่ด้านข้างซ้าย-ขวา เป็นที่ตั้งของศิลาจารึกใหญ่และระฆังสำริดขนาดใหญ่หนักถึง 2,000 ก.ก. ด้านหลังของเจดีย์เป็นประตูทางเข้าสู่วัด ประดิษฐานพระพุทธรูป พระสังกัจจายน์ เทวรูป ในบรรยากาศขรึมขลังมีคนเข้ามาทำบุญกันไม่ได้ขาด
ส่วนเมื่อเดินต่อไปทางซ้ายมือจะได้พบกับ“รถออสตินสีฟ้า” ที่ทางวัดเก็บรักษาและจัดแสดงไว้ เพราะถือเป็นรถคันประวัติศาสตร์ เนื่องจากในปี พ.ศ. 2506 พระภิกษุทิกกวางหยก เจ้าอาวาสของวัดเทียนมู่ ได้นั่งรถออสตินคันนี้ไปประท้วงรัฐบาลโงดินห์เดียม(ภายใต้การชักใยของอเมริกา)ที่มีการคอร์รัปชั่นกันอย่างมโหฬารอีกทั้งยังบังคับให้ชาวเวียดนามใต้หันไปนับถือศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก รวมถึงมีการใช้ความรุนแรงต่างๆ ท่านเจ้าอาวาวัดเทียนมู่ไม่ประท้วงรัฐบาลเปล่า แต่หากยังราดน้ำมันเผาตัวเอง ณ กลางกรุงไซ่ง่อน หรือโฮจิมินห์ซิตี้ในปัจจุบัน จนกลายเป็นตำนาน ส่งผลให้วัดเทียนมู่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์การเมืองในยุคหลังสงครามเวียดนามอีกด้วย
จากวัดเทียนมู่เราไปดูสิ่งก่อสร้างโบราณอันสำคัญคู่บ้านคู่เมืองเว้กันบ้างที่ “นครจักรพรรดิ” หรือ “นครต้องห้าม” หรือที่บางคนก็เรียกว่า “พระราชวังหลวง”
นครจักรพรรดิ เคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์ราชวงศ์เหวียนแห่งเว้ทั้งหมด 13 พระองค์ ในระหว่างปี พ.ศ. 2345-2488 โดย“จักรพรรดิยาลอง”ปฐมกษัตริย์แห่งเว้เป็นผู้สถาปนานครแห่งนี้ ขณะที่กษัตริย์องค์สุดท้ายคือ “พระเจ้าบ๋าวได่” ที่ทรงสละราชบัลลังก์ ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นเวียดนามในปัจจุบัน
นครจักรพรรดิ ออกแบบตามความเชื่อของจีน มีผังเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส มีกำแพงสูง 3 ชั้นล้อมรอบ มีกำแพงกิงห์แทงหรือกำแพงนอกตั้งตระหง่าน มีทางเข้า 10 ประตู แต่ละประตูมีหอหอยอยู่ เมื่อผ่านกำแพงชั้นนอกเข้าไป จะได้พบกับ “ซุนทางกง” หรือปืนใหญ่ 9 เทพเจ้า อันได้แก่ 5+4 ที่หมายถึง ตัวแทนของธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ไม้ ไฟ และโลหะ กับตัวแทนของฤดูกาลทั้ง 4 ใน 1 ปี
ผ่านจากกำแพงชั้นนอกเข้ามา จะเป็นกำแพงชั้นกลาง หรือ กำแพงเหลือง ที่มี่ประตูทางเข้า 4 ทาง มีประตูสำคัญคือ ประตู “โหงะโมน” หรือ ประตูเที่ยงวัน ที่สร้างขึ้นในครั้งแรกด้วยหินแกรนิตในสมัยพระเจ้ามินห์หม่าง ขณะที่ฝั่งตรงข้ามของประตูจะเป็นลานจัตุรัสกว้างใหญ่ เห็นป้อมปราการและเสาธงตั้งตระหง่าน
ประตูโหงะโมนเป็นประตูที่นักท่องเที่ยวต้องตีตั๋วเข้าสู่ชั้นต่อไปในพระราชวัง เป็นประตูสัญลักษณ์แห่งนครจักรพรรดิที่ปัจจุบันอยู่ในระหว่างการบูรณะซ่อมแซม
ผ่านจากกำแพงชั้นกลางเข้าไปก็เป็นกำแพงตือกามแทงห์หรือกำแพงชั้นใน ซึ่งเดิมเป็นเขตเฉพาะสำหรับกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์เท่านั้น แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ จากจุดนี้ไปจะเป็นสะพานทางเดินข้ามน้ำไปสู่ “พระราชวังไทเฮา” ที่ด้านหน้าน่ายลไปด้วยต้นลีลาวดีหรือลั่นทมทอดกิ่งสวยงาม
พระราชวังไทเฮา เป็นส่วนสำคัญที่สุดของนครจักรพรรดิ เป็นที่ต้อนรับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง ต้อนรับพระราชอาคันตุกะ ต้อนรับนักการทูตจากต่างประเทศ รวมถึงใช้เป็นที่จัดงานฉลองสำคัญต่างๆ
ผ่านจากพระราชวังไทเฮาไปก็จะเป็นลานกว้าง มีสิ่งน่าสนใจตามจุดต่างๆให้เที่ยวชม พิพิธภัณฑ์ที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ของกษัตริย์ ท้องพระโรงจำลองที่วันนี้กลายเป็นที่เปลี่ยนจุดถ่ายรูปของนักท่องเที่ยว มีกำแพงด้านหลังที่เมื่อเข้าไปจะเป็นลานกว้าง วันนี้อยู่ในการบูรณะปรับปรุงสถานที่
นอกจากนี้ในนครจักรพรรดิในเขตกำแพงชั้นกลางยังมีวัดต่างๆอยู่ไม่น้อย วัดเหล่านี้สร้างอุทิศให้กับบรรดาขุนนาง โดยมี วัดสำคัญ คือ “วัดเถเหมียว”(The Mieu) ที่ภายในเป็นที่ตั้งป้ายกษัตริย์ 9 รัชกาล โดยมีกระถางเก็บโกศ 9 ใบทางด้านหน้า ถือเป็นวัดยังคงสภาพดี มีความสวยงาม น่าแวะเที่ยวชมเป็นอย่างยิ่ง
นับได้ว่านครจักรพรรดิเป็นมรดกตกทอดทางวัฒนธรรมสำคัญ ที่หากใครมาเมืองเว้แล้วไม่ควรพลาดการเที่ยวชมด้วยประการทั้งปวง
4...
ในเมืองเว้ ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญทางการท่องเที่ยวนั่นก็คือ “สุสานจักรพรรดิ” ที่มีผู้คนนิยมไปเที่ยวชมกันเป็นจำนวนมาก โดยสุสานที่เด่นก็มี สุสานจักรพรรดิยาลอง(Gia Long),สุสานจักรพรรดิมินห์หม่าง(Minh Mang),สุสานจักรพรรดิตือ ดึก(Tu Duc) และสุสานจักรพรรดิไคดิ่ง(Khai Dinh) ที่ได้ชื่อว่ามีความยิ่งใหญ่สวยงามสูงสุดเหนือบรรดาสุสานจักรพรรดิทั้งปวง
สุสานจักรพรรดิไคดิ่งมีการผสมผสานงานสถาปัตยกรรมระหว่างตะวันออกกับตะวันตกเข้าด้วยกันอย่างลงตัว(เป็นเพียงสุสานเดียวในเว้ที่มีงานศิลปกรรมตะวันตกเข้ามาผสม) ซึ่งนั่นอาจจะมาจากอิทธิพลของยุคล่าอาณานิยมที่รุกหนักเข้ามาในช่วงนั้น
สุสานจักรพรรดิไคดิ่งสร้างในสมัยพระเจ้าไคดิ่ง(พ.ศ.2431-2468) ที่เตรียมไว้เป็นที่ฝังพระศพของพระองค์ แต่ว่าพระเจ้าไคดิ่งสิ้นพระชนม์ไปก่อน พระเจ้าบ๋าวได่โอรส(บุญธรรม) กษัตริย์องค์ต่อมาจึงสานต่อสร้างตนแล้วเสร็จอย่างสวยงามอลังการงานสร้างมากๆ
สุสานจักรพรรดิแห่งนี้ ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง(ตามความเชื่อของชาวเวียดหลุมฝังศพกษัตริย์ต้องอยู่สูงกว่าสามัญชน) มีบันไดทางขึ้น 127 ขั้น เมื่อผ่านซุ้มประตูอันโอ่อ่าในช่วงแรกขึ้นไปจะพบกับ รูปปั้นหินของทหาร ช้าง ม้า ที่ยืนเด่นเป็นดังองค์รักษ์เฝ้าสุสาน กลางลานมีแผ่นจารึกอักษรจีนโดยพระเจ้าบ๋าวได่เขียนขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระบิดา(พระเจ้าไคดิ่ง)ของพระองค์
จากนั้นเส้นทางจะนำไปสู่ส่วนด้านบนสุดคือ “พระราชวังเทียนดิงห์” อันเป็นที่ตั้งของสุสาน มีรูปปั้นของพระเจ้าไคดิ่งเป็นศูนย์กลาง โดยมีพระศพของพระเจ้าไคดิ่งฝังอยู่ใต้รูปปั้นลึกลงไป 11 เมตร
ภายในสุสานจักรพรรดิชั้นในสุดหรือพระราชวังเทียนดิงห์นั้นมีความวิจิตร อลังการมาก มีการตกแต่งผนังด้วยกระเบื้องเคลือบสีอิทธิพลงานศิลปกรรมจากจีนที่สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างวิจิตรงดงามงาม ประณีต สุดยอดมาก หลายจุดทำเป็นรูปมังกรตามความเชื่อแบบจีนที่เวียดนามได้รับอิทธิพลมา
ขณะที่บนเพดานดูแปลกตาไปกับภาพเขียนสีรูปมังกรในม่านเมฆขนาดใหญ่ที่มีความน่าสนใจไม่น้อย เพราะภาพนี้ศิลปินนั้นให้เท้าคีบพู่กันวาด อันเนื่องมาจากความเชื่อที่ว่าสามัญชนห้ามยืนศีรษะอยู่สูงกว่ากษัตริย์ทำให้ไม่สามารถยืนใช้มือวาดรูปได้ จึงต้องแก้เคล็ดเป็นสลับกลับหัวมาอยู่ด้านล่างแล้วใช้เท้าวาดแทน(แต่คนที่นี่สมัยก่อนไม่ถือเรื่องเท้าอยู่สูง) จนเกิดเป็นภาพประดับเพดานอันชวนทึ่ง
นอกจากนี้ภายในพระราชวังเทียนดิงห์ ยังมีห้องจัดแสดงภาพและเรื่องราวของพระเจ้าไคดิ่งห์พร้อมด้วยข้าวของเครื่องใช้ และรูปปั้นสำริดขนาดเท่าองค์จริงของพระเจ้าไคดิงห์ ซึ่งทำขึ้นที่ฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2465
และด้วยความงดงาม วิจิตร อลังการของสุสานจักรพรรดิไคดิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็น"สิ่งมหัศจรรย์แห่งเมืองเว้"กันเลยทีเดียว
และนี่ก็คือเสน่ห์ทางการท่องเที่ยวและแหล่งท่องเที่ยวบางส่วนของเมืองเว้ ซึ่งในเมืองมรดกโลกแห่งนี้ยังมีสิ่งน่าสนใจอีกหลากหลาย ขณะที่นักท่องเที่ยวชาวไทยโดยเฉพาะกรุ๊ปทัวร์ไทยนั้น ทริปนี้ดูจะไม่สมบูรณ์ถ้าหากไม่ได้ช้อปปิ้ง โดยจุดชอปปิ้งหลักในเมืองเว้ที่ไม่ควรพลาด(โดยเฉพาะกรุ๊ปทัวร์ชาวไทย)นั่นก็คือที่ “ตลาดดงบา” ซึ่งมีสินค้าสารพัดสารพันหลากหลายให้เลือกซื้อเลือกช้อปกัน อันถือเป็นการปิดทริปเที่ยวแบบไทยๆให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะคนไทยนั้นได้ชื่อว่าเป็นยอดนักช้อปในอันดับต้นๆของโลกอยู่แล้ว
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
สามารถส่งข้อมูลข่าวสารด้านการท่องเที่ยว-อาหารมาได้ที่ กอง บก.ข่าวท่องเที่ยว แฟกซ์ 0-2629-4467 อีเมล์ travel_astvmgr@hotmail.com