xs
xsm
sm
md
lg

เปิดเวทีชี้ทางลัด SMEs ไทยสู่ตลาดจีน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

บริษัท ไอบริก จำกัด ร่วมกับ BMI Consultants และ BM Intelligence Group, ฮ่องกง  ถ่ายภาพร่วมกัน
ไอบริก จับมือ BMI เปิดเวทีสัมมนาชี้ทางลัด SMEs ไทย ชี้อีก 15 ปีจีนจะก้าวเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจโลกแทนอเมริกา ระบุธุรกิจไทยเร่งปรับตัวแสวงหาโอกาส

บริษัท ไอบริก จำกัด ร่วมกับ BMI Consultants และ BM Intelligence Group, ฮ่องกง สนับสนุนโดยบริษัท เรียลมูฟ จำกัด ได้ร่วมจัดฟรีสัมมนาเพื่อติดอาวุธให้แก่ SMEs ไทยในหัวข้อ “เปลี่ยนแนวรับ ปรับแนวรุก : ทางลัดสู่ความสำเร็จในตลาดจีนและตลาดโลก (On the Fast Track to Success in China and Global Markets)

นายสักกฉัฐ ศิวะบวร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอบริก จำกัด กล่าวว่า การจัดสัมมนาในครั้งนี้เพื่อส่งเสริม SMEs ไทยตื่นตัว และเตรียมพร้อมเชิงรุกในการบุกสู่ตลาดโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ โดยการนำเสนอและแนะนำโซลูชันใหม่ๆ เพื่อเตรียมพร้อมต่อการแข่งขันในตลาดโลกมากขึ้น

ด้าน มร.เทอเรนซ์ ฮอง กรรมการผู้จัดการ BMI Consultants, ฮ่องกง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจจีนจะมีความแข็งแกร่งในระยะยาว โดยมีการคาดการณ์ว่าในอีก 15 ปีข้างหน้าสหรัฐอเมริกาจะด้อยความสำคัญลงในฐานะผู้นำโลก โดยมีมูลค่าของผลผลิตประชาชาติ 25 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าร้อยละ 30 ของเศรษฐกิจโลกจะลดลงเหลือร้อยละ 20 ในปี 2030 ส่วนขนาดเศรษฐกิจของญี่ปุ่นจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปัจจุบันที่มีมูลค่าประมาณ 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 6.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในอีก 15 ปีข้างหน้า และจะถูกแซงหน้าโดยอินเดียที่คาดว่าจะมีขนาดเศรษฐกิจถึง 6.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปี 2030

ทั้งนี้ ในสองทศวรรษที่ผ่านมาเศรษฐกิจของจีนขยายตัวมากกว่า 7 เท่า จากเดิมที่มีขนาด GDP ต่ำกว่า 1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐในปัจจุบัน และจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจนมีขนาดเศรษฐกิจเท่ากับ 22.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ น้อยกว่าสหรัฐฯ ราว 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าขนาดเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวเท่ากับมูลค่า 15 ล้านล้านเหรียญสหรัฐภายใน 15 ปี มากกว่ามูลค่าเศรษฐกิจปัจจุบันของบราซิล ญี่ปุ่น และเยอรมนีรวมกัน จากการที่เศรษฐกิจของจีนยังมีช่องว่างที่จะเติบโดอีกมาก รวมกับชนชั้นกลางและกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น จึงถือเป็นโอกาสทางการตลาดที่สำคัญของธุรกิจไทยที่ไม่ควรพลาด

มร.ฮองได้กล่าวเสริมว่า ตลาดทุนที่น่าสนใจและถือเป็นทางเลือกใหม่สำหรับธุรกิจของไทย ได้แก่ ตลาดซื้อขายตราสารทุนเซี่ยงไฮ้ (Shanghai Equity Exchange หรือ SEE) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2010 โดยสภามนตรีแห่งรัฐ คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์จีน และเทศบาลนครเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และการจดทะเบียนใน SEE ได้รับความนิยมสูงมาก ไม่เพียงแค่จากจีน แต่จากต่างประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น โดยมีระเบียบและขั้นตอนในการเข้าจดทะเบียนที่ไม่ซับซ้อนมากนัก ใช้ระยะเวลาเพียง 4-6 เดือน ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแต่ละบริษัท

ทั้งนี้ โดยกลุ่มบริษัทที่จีนให้ความสนใจจะเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีมูลค่าเพิ่มด้วยแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ คุณค่าทางวัฒนธรรม ดีไซน์ เอกลักษณ์เฉพาะตัว ในประเภทของอุตสาหกรรมและธุรกิจ ได้แก่ ไอที อินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ การศึกษาที่ใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (IT, Internet, Software, E-learning education), ที่ปรึกษา/บริการทางการเงิน การลงทุน (Financial/investment consulting), สมุนไพรสรรพคุณเป็นยา, เครื่องเทศ (Medicinal herbs, spices), การแพทย์ทางเลือก/การแพทย์แบบองค์รวม (Alternative medicine/holistic medicine), เครื่องหอม ผลิตภัณฑ์สปา เครื่องสำอางจากธรรมชาติ (Perfumery, spa products, organic cosmetics), เทคโนโลยีชีวภาพ (Bio-technology), อาหารสำเร็จรูป หรืออาหารไทยแปรรูป (Ready-to-eat food, processed Thai food), บริการดูแลเด็ก/คนสูงอายุ (Child care/elderly care)

“สำหรับโอกาสที่กลุ่มธุรกิจไทยจะได้รับจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดซื้อขายตราสารทุนเซี่ยงไฮ้ (SEE) คือภาพลักษณ์ความน่าเชื่อถือ และที่สำคัญคือโอกาสทางธุรกิจทั้งในด้านการระดมทุน การจับคู่ทางธุรกิจ การขยายตัวและการสร้างคู่ค้าใหม่ๆ ในตลาดโลกได้อย่างไร้ขีดจำกัด ซึ่งสินค้าไทยใน 8 กลุ่มข้างต้นถือเป็นกลุ่มธุรกิจที่จีนให้ความสนใจเนื่องจากเป็นธุรกิจที่ไม่ได้แข่งขันด้วยปริมาณสินค้า แต่แข่งขันในเรื่องของการบริการ นวัตกรรม ศิลปวัฒนธรรม และความคิดสร้างสรรค์ที่จะช่วยต่อยอดธุรกิจได้อย่างมีมูลค่าในตลาดได้ในอนาคต”

สำหรับการจัดสัมมนาครั้งนี้เป็นหนึ่งในกิจกรรมเพื่อนำเสนอการจัดงาน SME BIZ ASIA 2016 ที่จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “Innovative Solutions Driven-Enhance SME Businesses & Empower SME Networks” ในวันที่ 26-28 กุมภาพันธ์ 2559 ณ บริเวณฮอลล์ 1 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

โดยงานดังกล่าวเป็นเทรดโชว์ของวงการ SMEs ในระดับธุรกิจถึงธุรกิจ (B2B) ครั้งสำคัญในประเทศไทยที่นำเสนอโอกาสและช่องทางธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ที่สนใจเพิ่มศักยภาพและต้องการขยายเครือข่าย อีกทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถก้าวไปสู่การแข่งขันในระดับสากล โดยภายในงานได้รวบรวมเอา “นวัตกรรมเชิงการจัดการ” ซึ่งครอบคลุมใน 7 โซนหลัก ได้แก่

1.SME Financing แหล่งเงินทุนและผลิตภัณฑ์ทางด้านการประกันภัย ประกันอุบัติเหตุและประกัน
2.กลุ่มสำหรับ SMEs Marketing & Design Innovation กลยุทธ์/เครื่องมือทางการตลาด การตลาดบนโลกออนไลน์ ผู้พัฒนาเว็บไซต์ และการออกแบบในยุคดิจิตอล ที่จะช่วยสร้างความโดดเด่นให้แก่ SMEs
3.Printing Innovation นวัตกรรมการพิมพ์ 3D เทคโนโลยีการพิมพ์ในยุคดิจิตอล เพื่อลดเวลาและค่าใช้จ่ายให้กับ SMEs
4.Office Automation & Support Services การบริหารจัดการออฟฟิศโดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจ
5.Franchising Opportunities โอกาสทางธุรกิจสำหรับผู้มองหาการลงทุนจากระบบการค้าที่มีตราสินค้า
6.Logistic Services การบริหารวัสดุคงคลัง บริการขนส่งและการให้บริการจัดเก็บสินค้า
7.Energy Saving & Security การบริหารพลังงานเพื่อลดต้นทุนของธุรกิจ และระบบรักษาความปลอดภัย

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *


กำลังโหลดความคิดเห็น