xs
xsm
sm
md
lg

‘10 Thirty Café’ ร้านกาแฟบาริสต้าหนุ่มล่ำ ขายเสน่ห์ชายกล้ามโต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


ถ้าพูดถึงธุรกิจร้านกาแฟ เชื่อว่ายังคงเป็นธุรกิจในฝันของใครหลายๆ คน แต่เนื่องจากธุรกิจร้านกาแฟเป็นอีกธุรกิจที่แข่งขันกันดุเดือด โดยจะพบว่าในตลาดมีกาแฟหลากหลายรูปแบบให้เลือกมากมาย ตั้งแต่กาแฟโบราณข้างถนนราคาไม่กี่สิบบาท ไปจนถึงกาแฟพรีเมียมอยู่บนห้างหรูขายราคาแก้วละหลายร้อยบาท

ดังนั้น การจะเปิดร้านกาแฟสักร้าน จะอาศัยแค่มีทำเลดี รสชาติกาแฟอร่อย บรรยากาศร้านสวยงาม คงไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว โจทย์ของผู้ประกอบการร้านกาแฟหน้าใหม่จำเป็นต้องสร้างจุดขายอื่นๆ เพื่อมาเสริมแรงการแข่งขันในยุคนี้ด้วย

อย่างกรณีร้าน 10 Thirty Café ร้านกาแฟย่านรัชโยธิน ที่ใช้บาริสต้าหน้าตาดี หุ่นหล่อล่ำ มาสร้างเป็นจุดขาย ก็ถือเป็นอีกตัวอย่างที่น่าสนใจ
กริสสิริ จูงศิริวัฒน์
ร้าน 10 Thirty Café ก่อตั้งโดย “กริสสิริ จูงศิริวัฒน์” และหุ้นส่วนอีกสองคน ได้รับกระแสตอบรับค่อนข้างดี โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ ทำให้สามารถแจ้งเกิดแบรนด์ได้ภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว

กริสสิริย้อนเล่าถึงที่มาของการเปิดร้าน 10 Thirty Café ว่า เปิดบริษัททำออแกไนเซอร์มาประมาณ 7-8 ปีแล้ว บริการจัดงานแฟชั่นโชว์ ทำงานร่วมกับนายแบบมาหลายปีแล้ว พอมีแนวคิดอยากเปิดร้านกาแฟ ก็เลยคุยกับน้องๆ นายแบบที่สนิทกันว่า มาลองทำร้านกาแฟกันไหม

“จริงๆ ตัวเองเป็นคนชอบบรรยากาศร้านกาแฟ ชอบดื่มกาแฟ และชอบทำงานที่ร้านกาแฟ ก็เลยรู้สึกว่าถ้ามีร้านกาแฟที่กาแฟก็อร่อย บรรยากาศน่านั่ง บริการดี แล้วมีบาริสต้าหรือคนที่อยู่หลังเคาน์เตอร์หน้าตาดีด้วย ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง ทุกอย่างครบหมด ก็น่าจะดี จะได้ตอบโจทย์คนที่มานั่งทำงาน หรือมานั่งอ่านหนังสือสบายๆ”

“และเนื่องจากเรามีน้องๆ นายแบบอยู่ในมืออยู่แล้ว ก็รู้สึกว่าน่าจะหยิบตรงนี้ขึ้นมาเล่นได้ เพราะร้านกาแฟสมัยนี้ที่เป็นเรียลคอฟฟี่รสชาติดีก็เยอะ หรือร้านกาแฟที่เป็นแมสก็เยอะ ฉะนั้นถ้าเราจะเปิดร้านกาแฟ ก็ต้องมีจุดเด่นอะไรบางอย่างที่จะทำให้ลูกค้าสนใจ”

“ประกอบกับตอนที่ทำแฟชั่นโชว์ เราสังเกตเห็นว่า อย่างงานกางเกงยีนส์ สมัยก่อนก็จะเน้นมีทั้งนายแบบนางแบบ แต่หลังๆ มานี้ลูกค้าจะต้องการแต่นายแบบผู้ชาย แล้วต้องโชว์กล้าม คือเทรนด์นี้มันมาได้สัก 2-3 ปีแล้ว มันเป็นจุดขายได้เกือบทุกโปรดักต์ ขนาดอาหารหมา อาหารแมว ก็อยากได้นายแบบที่มีกล้าม หรือกระเป๋า รองเท้าผู้หญิง ก็ต้องมีนายแบบผู้ชายเข้าไปเสริมในการเดินแฟชั่นโชว์ ทำให้เริ่มเห็นว่าน่าจะหยิบเทรนด์ผู้ชายโชว์กล้ามมาใช้ได้นะ เพียงแต่ว่าจะจับมันมาเล่นอย่างไรให้น่าสนใจ”

นี่คือที่มาของการนำคอนเซ็ปต์บาริสต้าหน้าตาดี หุ่นหล่อล่ำ มาสร้างเป็นจุดขายให้กับร้าน 10 Thirty Café ซึ่งถือเป็นอีกตัวอย่างของการนำเทรนด์ Spornosexual หรือชายกล้ามโต มาใช้ประโยชน์ในธุรกิจ

อย่างไรก็ดี การสร้างจุดขายด้วยการใช้บาริสต้าหน้าตาดี หุ่นหล่อล่ำมาชงกาแฟของร้าน 10 Thirty Café นั้น หลายคนอาจคิดว่ากริสสิริเพียงแค่ไปจ้างนายแบบหน้าตาดี หุ่นหล่อล่ำมายืนโพสท่าถ่ายรูปหลังเคาน์เตอร์ชงกาแฟ แล้วโพสต์ในสังคมโซเชียลมีเดียเพื่อให้เกิดกระแสเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วนายแบบที่มาเป็นบาริสต้าโมเดลของร้าน 10 Thirty Café ทุกคนต้องผ่านการเข้าคอร์สอบรมการทำกาแฟมาก่อน เพื่อให้สามารถชงกาแฟได้จริงๆ

โดยที่ร้าน 10 Thirty Café จะมีบาริสต้าโมเดล (หน้าตาดี หุ่นหล่อล่ำ) 8 คน และบาริสต้าหลัก (หน้าตาดี หุ่นธรรมดา) 4 คน

“ในส่วนของบาริสต้าโมเดลน้องๆ พวกนี้จะมีงานจ็อบอื่นๆ อยู่ด้วย เพราะบางคนเป็นนายแบบ บางคนเป็นนักแสดง บางคนเป็นนักร้องอยู่แล้ว ซึ่งตอนเปิดร้านใหม่ๆ งานตรงนี้อาจจะเป็นงานเสริมของเขา แต่พอเราเปิดร้านมาได้ระยะหนึ่ง กระแสตอบรับมันตอบรับดีมาก ทำให้มันวิ่งไปได้ควบคู่กับงานในวงการบันเทิงของพวกเขาแล้ว เขาก็ต้องแบ่งเวลามาที่ร้าน แต่จะมาเป็นกะนะ มีตารางให้ว่าบาริสต้าโมเดลคนนี้จะมาร้านวันไหน ซึ่งในแต่ละวันเราจะมีบาริสต้าโมเดลมาประจำร้านในช่วงประมาณ 4 โมงเย็นจนถึงเที่ยงคืน”

ร้าน 10 Thirty Café ถือเป็นร้านกาแฟสเกลค่อนข้างใหญ่ มีพื้นที่ประมาณ 200 ตารางเมตร ความจุ 150 ที่นั่ง โดยตั้งอยู่บนชั้น 2 ของคอมมูนิตีมอลล์เปิดใหม่ meeting point ปากซอยพหลโยธิน 30 เยื้องกับเมเจอร์รัชโยธิน

ฉะนั้นจะเห็นว่านอกจากร้านกาแฟแห่งนี้จะมีจุดขายในเรื่องบาริสต้าหน้าตาดี หุ่นหล่อล่ำมาชงกาแฟจนได้รับกระแสตอบรับที่ดีเกินคาด เป็นที่พูดถึงกันมากในโลกออนไลน์แล้ว ยังได้เปรียบในเรื่องของทำเลที่ตั้ง เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นย่านเศรษฐกิจอีกแห่งของกรุงเทพฯ และมีคอนโดมิเนียมอยู่ค่อนข้างเยอะ

“ต้องบอกก่อนว่าตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะเปิดขนาดใหญ่เท่านี้ ตอนแรกกะจะเปิดประมาณสัก 60-70 ตารางเมตร แต่ตอนที่มาดูทำเล meeting point ซึ่งมี 2 ชั้น เรารู้สึกว่าชอบชั้น 2 มากกว่า อันนี้เป็นความชอบ ไม่ได้มี Strategy อะไรนะ เพียงแต่รู้สึกว่าข้างบนมันโล่งสบายกว่า”

“แต่ข้อกำหนดของที่นี่ ถ้าจะเอาข้างบนต้องเอาทั้งหมด ก็เลยเป็นที่มาว่า ทำไมพื้นที่มันค่อนข้างเยอะ ซึ่งเราก็แบ่งสัดส่วนเป็นมีตติ้งรูม เอาต์ดอร์ และพื้นที่ครัว จริงๆ พอเปิดออกมาก็ถือว่าไม่ใหญ่เกินไป เราก็พยายามใช้พื้นที่ทุกส่วนให้มันคุ้มค่า”

“ส่วนลูกค้าที่มาใช้บริการ แรกๆ ที่เราโปรโมตร้านในเรื่องของบาริสต้าหล่อล่ำไปก็จะมีลูกค้าผู้หญิงค่อนข้างเยอะ แล้วก็เป็นกลุ่มเกย์ แต่หลังจากนั้นมาจะเป็นลูกค้าทั่วๆ ไป มีทั้งนักศึกษา วัยทำงาน กลุ่มครอบครัว มีครบหมด เพราะตอนแรกที่เราแพลนไว้จะเป็นพนักงานออฟฟิศในละแวกนี้ และคนที่อาศัยอยู่ตามคอนโดมิเนียม เพราะแถวนี้คอนโดมิเนียมเยอะมาก แล้วเด็กมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จริงๆ ตั้งใจจะจับ 3 กลุ่มนี้

แต่พอเปิดไปจริงๆ กลับมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการแทบทุกกลุ่ม เพราะฉะนั้นเมนูตอนนี้เราก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับกลุ่มครอบครัวด้วย”

และเนื่องจากต้องการใช้พื้นที่ทุกส่วนให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์มากที่สุด กริสสิริจึงตัดสินใจเปิดเป็นร้านกาแฟที่ให้บริการ 24 ชั่วโมง โดยนอกจากเมนูกาแฟแล้ว ยังมีเมนูเครื่องดื่มอื่นๆ ขนม และอาหาร เพื่อรองรับลูกค้าทุกกลุ่มอีกด้วย

“จริงๆ ก็อยากจะขายกาแฟอย่างเดียวแหละ แต่พอพื้นที่ใหญ่ขนาดนี้มันก็ต้องมีโปรดักต์อื่นเข้ามาเพื่อรองรับพื้นที่ที่เราจะต้องเสียค่าเช่าไปด้วย ต้องให้ได้ทุกจุด อีกทั้ง อยากจะตอบโจทย์ตัวเองด้วย คือ ตัวเองเป็นคนที่ชอบทำงานกลางคืน แล้วชอบออกมานั่งทำงานตามร้านกาแฟมากกว่าที่บ้าน ก็เลยตั้งใจว่าถ้าเราได้โลเกชันที่ดี เราก็ควรจะเปิดร้านกาแฟ 24 ชั่วโมง เพราะคงจะมีคนเหมือนเราไม่มากก็น้อยที่จะมาใช้บริการ”

ผลตอบรับ เทรนด์ตอนนี้จะเห็นนักศึกษาชอบอ่านหนังสือกันเป็นกลุ่มตามร้านกาแฟเยอะ หรือบางคนเพิ่งเปิดบริษัทใหม่ ยังไม่มีออฟฟิศเป็นเรื่องเป็นราว ก็มานั่งทำงานในร้านกาแฟ จริงๆ เราไม่ได้ซีเรียสเหมือนบางร้านที่อาจจะห้ามใช้โน่น นี่ นั่น คือในเมื่อเราเปิดร้านกาแฟมันต้องเจอสถานการณ์แบบนี้อยู่แล้ว เราเข้าใจ

อย่างตอนเราเป็นลูกค้าไปนั่งทำงานในร้านกาแฟ ไปถึงก็จะสั่งกาแฟก่อนเลย พอนั่งไปสักพักก็หิว ก็สั่งอาหาร จริงๆ มันขายได้เรื่อยๆ แหละ เพียงแต่ว่าเรามีโปรดักต์ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขนาดไหน

ฉะนั้นก็พยายามทำให้มีลูกค้าเรื่อยๆ ในทุกช่วงเวลา เพราะ ณ ตอนนี้ลูกค้าจะเยอะในช่วงหัวค่ำจนถึงดึก อย่างเดือนต่อไปเราจะมีเมนูอาหารเช้า เพราะว่าอยากจะตอบโจทย์ลูกค้าในช่วงเช้าด้วย”

เมื่อคอนเซ็ปต์ของร้าน 10 Thirty Café ได้รับการตอบรับค่อนข้างดี กริสสิริจึงเตรียมที่จะนำคอนเซ็ปต์นี้ไปเปิดในพื้นที่อื่นๆ ของกรุงเทพฯ โดยจะเน้นทำเลที่ตอบโจทย์ในแง่ของ Traffic และเป็นโลเกชันที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ มีวิวสวยงามสำหรับการถ่ายรูปโพสต์แชร์ในสังคมโซเชียลมีเดีย

“ผลตอบรับของร้านนี้มันมาค่อนข้างเร็ว ก็เลยคิดว่าเราจะต้องไปต่อค่อนข้างเร็วเหมือนกัน เพราะไม่งั้นเดี๋ยวกระแสมันจะดรอป ฉะนั้นถ้าได้โลเกชันอย่างที่ว่าก็จะเปิดสาขาใหม่ทันที

คือเราพยายามทำให้ลูกค้าที่มาโอเคทั้งในแง่โปรดักต์ และเซอร์วิส เพื่อที่จะได้กลับมาซื้อซ้ำ โซเชียลมีเดียมันเป็นตัวเปิด ทำให้ร้านเราเป็นที่รู้จัก ซึ่งถ้าเราสามารถสานต่อให้มันไปได้เรื่อยๆ มันก็โอเค ไม่ใช่เปิดมาแล้วลูกค้ามาถึงไม่ได้อย่างที่คาดหวังไว้ มันก็ไปเร็ว

จริงๆ เรามองว่าธุรกิจร้านกาแฟในเมืองไทยมันเป็นช่วงเติบโต แต่ถามว่าคู่แข่งเยอะไหม ก็เยอะนะ เพราะฉะนั้นตอนที่เราเริ่มจะทำร้าน สิ่งหนึ่งที่มันตอบโจทย์คือ เรามีโลเกชันค่อนข้างดี เพราะฉะนั้นเรามองคู่แข่งเป็นเรื่องรองแล้ว แต่ถ้าสมมติเราไปอยู่ในโลเกชันที่เป็นห้าง มีร้านกาแฟ 7-8 แบรนด์อยู่ในนั้น สิ่งที่ต้องคอนเซิร์นเยอะๆ คือคู่แข่งแล้ว แต่พอเราค่อนข้างได้เปรียบในเรื่องของโลเกชัน ทีนี้มันอยู่ที่เราแล้วล่ะว่าจะตอบโจทย์ลูกค้ายังไงให้เขามาเรื่อยๆ”

กริสสิริกำลังบอกว่า แม้จะสามารถแจ้งเกิดแบรนด์ได้ค่อนข้างเร็ว แต่โจทย์ที่ท้าทายต่อจากนี้คือ การรักษากระแสให้คงอยู่ตลอดไป และในฐานะเป็นร้านกาแฟน้องใหม่ที่สามารถแจ้งเกิดได้ค่อนข้างเร็ว กริสสิริฝากข้อคิดไว้ว่า

“ถ้าแค่บอกว่าเราชอบกาแฟ รักกาแฟ แล้วอยากเปิดร้าน บอกได้เลยว่ามันไม่พอ ดีเทลหรือรายละเอียดมันเยอะมาก เพราะฉะนั้นจะต้องเป็นคนที่ชอบกาแฟด้วย แล้วมีมายด์เซตด้วยว่าเราอยากจะเปิดประมาณไหน อย่างไร แล้วในร้านมันควรจะมีคนสองประเภทรวมกัน คือ คนที่รักกาแฟ รู้เรื่องกาแฟจริง กับคนที่ทำธุรกิจได้ด้วย ซึ่งถ้าในคนเดียวมีทั้งสองอย่างมันก็โอเค แต่ส่วนมากมันจะไม่ค่อยมาด้วยกัน” 

แล้วอยากจะให้เน้นเรื่องโลเกชันมากๆ บางคนอาจจะมองว่าโลเกชันดี เราเสียค่าเช่าสูง จะไม่เวิร์กหรือเปล่า แต่ถ้าโลเกชันที่ไม่ดี แน่นอนค่าเช่าค่อนข้างต่ำ แต่ผลตอบรับก็คงไม่ดีตามไปด้วย ฉะนั้นอยากจะให้ดูโลเกชันเป็นหลัก แล้วมีคอนเซ็ปต์ที่ค่อนข้างแปลกใหม่ ถ้าอยากจะกระโดดเข้ามาทำธุรกิจนี้

อย่างที่บอก มันต้องพร้อมในทุกๆ ด้าน บาริสต้าก็ไม่ได้ฝึกกันแค่วันสองวันนะ ต้องฝึกกันนานเหมือนกัน จนถึงวันหนึ่งที่รู้สึกว่า 8 คนนี้ที่เราเอามาชูเป็นบาริสต้าหน้าตาดี หล่อล่ำ เขาพร้อมทำได้ทุกเมนูแล้วถึงเปิดร้าน”
ในร้านมันควรจะมีคนสองประเภทรวมกัน คือ คนที่รักกาแฟ รู้เรื่องกาแฟจริง กับคนที่ทำธุรกิจได้ด้วย ซึ่งถ้าในคนเดียวมีทั้งสองอย่างมันก็โอเค แต่ส่วนมากมันจะไม่ค่อยมาด้วยกัน
ด้วยระยะเวลาไม่นาน คงยังไม่สามารถชี้วัดได้ว่าความสำเร็จของร้าน 10 Thirty Café จะยืนยาวแค่ไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่าไอเดียในการใช้บาริสต้าหน้าตา หล่อหุ่นล่ำมาเป็นจุดขาย ช่วยสร้างสีสันการตลาดได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

ใครสนใจอยากแลกเปลี่ยนประสบการณ์หรือจับคู่ธุรกิจกับกริสสิริติดต่อได้ที่ www.facebook.com/10thirtycafe

@@@@ข้อมูลโดย นิตยสาร SMEs PLUS @@@@

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *


กำลังโหลดความคิดเห็น