xs
xsm
sm
md
lg

ฟื้นตำนาน “ข้าวหอมนครชัยศรี” ชูธงเกษตรอินทรีย์ของดีคู่นครปฐม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


หลังจากที่เคยหายสาบสูญไปนานกว่า 40 ปี วันนี้ ชื่อข้าว “หอมนครชัยศรี” ข้าวนาปีสายพันธุ์พื้นเมืองของจังหวัดนครปฐม คืนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง โดยความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ ทั้งนักวิชาการ องค์กร เครือข่ายชาวนา ที่ร่วมกันนำพันธุ์ข้าวพื้นเมืองชนิดนี้กลับมาทดลองปลูกในพื้นที่นาจังหวัดนครปฐม โดยเน้นการปลูกด้วยระบบเกษตรอินทรีย์เพื่อเพิ่มคุณค่าให้แก่ผลผลิต และเป็นทางเลือกใหม่ให้คนรักษ์สุขภาพ
ข้าวหอมนครชัยศรี
สำหรับจุดเริ่มของการฟื้นตำนานข้าวหอมนครชัยศรี ดังคำขวัญของจังหวัดที่ว่า “ส้มโอหวาน ข้าวสารขาว ลูกสาวสวย” นั้น รศ.ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนึ่งในบุคคลสำคัญที่ร่วมกับชาวนาในพื้นที่โฉนดชุมชนบ้านคลองโยง-ลานตากฟ้า อ.นครชัยศรี ค้นหาพันธุ์ข้าวหอมนครชัยศรีกลับมาปลูกกันอีกครั้ง
 รศ.ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รศ.ดร.ประภาสเล่าว่า หลังจากได้เมล็ดพันธุ์เมื่อปี 2556 ได้ร่วมกับเกษตรกรทดลองปลูกด้วยระบบอินทรีย์ในพื้นที่ประมาณ 6 ไร่ ซึ่งผลผลิตที่ได้ในปีแรกนั้นส่วนใหญ่เก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์ในปีต่อไป อีกส่วนหนึ่งสีเป็นข้าวสารแจกจ่ายให้คนในพื้นที่ได้ทดลองชิม ซึ่งทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า กลิ่นหอม รสชาติอร่อย ต่อมาในปี 2557 สมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชนบ้านโฉนดชุมชน คลองโยง-ลานตากฟ้า จึงได้ขยายพื้นที่ปลูกออกไปเกือบ 30 ไร่ และแบ่งเมล็ดพันธุ์ส่วนหนึ่งให้กับโรงแรมสามพรานริเวอร์ไซด์ไปปลูกขยายพันธุ์ต่อเป็นรุ่นที่ 2

“สมัยก่อนพื้นที่แห่งนี้เป็นอู่ข้าวอู่น้ำของคนนครปฐม แต่ระยะหลังชาวนาเลือกปลูกข้าวอายุสั้น ซึ่งเป็นข้าวแข็งสำหรับทำแป้ง ทำให้ข้าวพื้นถิ่นดีๆ หายไปจากทุ่ง ต้องกินข้าวถุงกัน ซึ่งเป็นข้าวที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้า เราก็เลยค้นหาพันธุ์ข้าวดั้งเดิมที่กินได้กลับมาปลูกซึ่งพบว่าข้าวหอมนครชัยศรี คือหนึ่งในพันธุ์ข้าวพื้นเมืองของจังหวัดนครปฐม ที่ให้รสชาติอร่อย มีเอกลักษณ์เฉพาะ คล้ายข้าวหอมมะลิ และข้อดีของข้าวพันธุ์นี้ก็คือ เป็นข้าวนาปีที่ดูแลง่าย หนีน้ำได้ทัน ไวต่อแสง ไม่กินปุ๋ย และต้านทานโรคได้ดี โดยเราเลือกปลูกด้วยระบบอินทรีย์ เพื่อหวังอยากให้ทุกคนได้กินข้าวที่ดี มีคุณภาพ และปลอดภัย อีกทั้งช่วยกันฟื้นฟู อนุรักษ์ และส่งเสริมให้ข้าวชนิดนี้กลับมาอยู่คู่นครปฐมอีกครั้ง” รศ.ดร.ประภาสกล่าว

ด้านนายอรุษ นวราช กรรมการผู้จัดการ โรงแรมสามพรานริเวอร์ไซด์ และเลขาธิการมูลนิธิสังคมสุขใจ กล่าวว่า ภายใต้โครงการสามพรานโมเดล ซึ่งพยายามผลักดันเรื่องเกษตรอินทรีย์มาอย่างต่อเนื่อง ได้มีการนำพันธุ์ข้าวหอมนครชัยศรีมาทดลองปลูกในศูนย์พัฒนาเกษตรอินทรีย์สุขใจ ริมแม่น้ำท่าจีน ฝั่งตรงข้ามกับโรงแรม ในพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ โดยผลผลิตในปีแรกนี้ก็เป็นที่น่าพอใจ
นายอรุษ นวราช กรรมการผู้จัดการ โรงแรมสามพรานริเวอร์ไซด์ และเลขาธิการมูลนิธิสังคมสุขใจ
“เป็นที่น่ายินดีที่ชาวนาในจังหวัดนครปฐมมองเห็นความสำคัญของพันธุ์ข้าวดั้งเดิมของท้องถิ่น และช่วยกันรื้อฟื้นกลับมาปลูกใหม่กันอีกครั้ง ซึ่งเราเน้นว่าจะต้องทำในระบบเกษตรอินทรีย์เท่านั้นเพื่อให้ได้รับอาหารที่ปลอดภัย ขณะเดียวกันเกษตรกรเองก็มีสุขภาพที่ดี อีกทั้งยังเป็นการสร้างมูลค่าให้แก่ผลผลิต และสร้างรายได้เพิ่มให้แก่เกษตรกรอีกทางหนึ่งด้วย” ผู้บริหารโรงแรมสามพรานริเวอร์ไซด์เผย

ด้านนายอนิรุทธ์ ขาวสนิท เกษตรกรอินทรีย์ ซึ่งเป็นหัวหอกสำคัญในการฟื้นตำนานข้าวหอมนครชัยศรี โดยได้รับมอบหมายจากโรงแรมสามพรานริเวอร์ไซด์ให้เป็นผู้ดูแลศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ และเป็นผู้ทดลองปลูกข้าวหอมนครชัยศรีด้วยระบบอินทรีย์ เล่าถึงวิธีการปลูกข้าวชนิดนี้ว่า เริ่มปลูกในเดือนสิงหาคม และเกี่ยวในเดือนธันวาคม ใช้เวลาปลูกทั้งสิ้น 120 วัน หรือประมาณ 4 เดือนกว่า ได้ลำต้นสูงประมาณ 150 เซนติเมตร รวงใหญ่จะให้เม็ดข้าวประมาณ 175 เม็ด รวงเล็กประมาณ 150 เม็ด แต่จะไม่เกิน 200 เม็ด ในการปลูกให้ได้ผลนั้นเกิดจากการยึดถือ 3 หลักของวิถีการทำนาแบบโบราณ คือ แม่พระธรณี แม่พระคงคา และแม่พระโพสพ
นายอนิรุทธ์ ขาวสนิท
“ถ้าเอาอาหารที่ดีๆ ให้ 3 แม่นี้กิน ให้ทุกแม่มีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง โดยที่ไม่ทำลาย ไม่ใช้สารเคมี ไม่จุดไฟเผา สุดท้ายทั้ง 3 แม่ก็จะให้ผลผลิตที่ดีกลับคืนมาเช่นกัน และการปลูกข้าวนั้นขึ้นอยู่ที่การเตรียมดิน เพราะถ้าเตรียมดินดีเมล็ดข้าวจะงอกงามโดยปุ๋ยไม่ต้องใส่ อย่าจุดไฟเผา แต่ให้ใช้วิธีไถดะแล้วหว่านปอเทืองทิ้งไว้ได้สัก 1-2 เดือนเพื่อเตรียมดิน หลังจากนั้นไถกลบปอเทือง แล้วปล่อยน้ำเข้าแปลงนา ปล่อยทิ้งไว้ให้ปอเทืองย่อยสลายเพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้กับดินก่อนปักดำ ส่วนเรื่องการให้ปุ๋ยและฮอร์โมนต้องคอยสังเกตช่วงเวลาให้เหมาะสม ถ้าใส่ไม่ถูกจังหวะอาจทำให้ต้นข้าวเสียหายได้” นายอนิรุทธ์กล่าว
นายธัญญสิทธิ์ ยอดศรีโสภณ
ขณะที่นายธัญญสิทธิ์ ยอดศรีโสภณเกษตรกรหนุ่มวัย 38 ปีจาก ต.ลานตากฟ้า อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ที่หันมาปลูกข้าวหอมนครชัยศรีด้วยระบบเกษตรอินทรีย์เมื่อปี 2556 เล่าว่า การทำนาอินทรีย์ต้องใช้ความอดทนในช่วงแรก แม้ปริมาณผลผลิตที่ได้ไม่มากเหมือนการทำเกษตรเคมี แต่ก็ช่วยลดต้นทุนได้มาก อย่างข้าวอินทรีย์ได้ประมาณ 50 ถังต่อไร่ ราคาขายกิโลกรัมละประมาณ 80 บาท ขณะที่นาข้าวเคมี 1 ไร่ ได้ประมาณ 120 ถัง ราคาขายเท่ากัน แต่ค่าใช้จ่ายด้านเคมีสูงกว่า หักลบกลบหนี้แล้วจำนวนเงินที่ได้ไม่ต่างกันมากนัก แต่ความต่างที่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน นั่นคือ ได้สุขภาพที่ดี และได้ฟื้นของดีของจังหวัดนครปฐมให้กลับคืนมาอีกครั้ง

“ข้าวหอมนครชัยศรีนั้นปลูกไม่ยาก ข้อดีคือเป็นข้าวที่หนีน้ำได้ทัน ต้านทานโรคได้ดี ไวต่อแสง แต่จะใช้เวลานานกว่าข้าวอื่นๆ ส่วนข้อเสียสำหรับพื้นที่ลุ่มในย่านดินเหนียวพอต้นใกล้เวลาออกรวงจะสูงระดับ 150 เซนติเมตร ถ้าน้ำหนักรวงเยอะจะโน้มตันล้มหมด ถ้าน้ำในนาไม่แห้งเวลาเก็บเกี่ยวจะเสียหายเยอะ ฉะนั้นดินที่เหมาะคือดินร่วนปนทราย” ธัญญสิทธิ์บอกเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ

เหล่านี้คือส่วนหนึ่งของความพยายามในการฟื้นตำนานข้าวหอมนครชัยศรี ซึ่งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ และช่วงการทดลองตลาด แต่ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นและเป็นข้าวอินทรีย์ที่มีความหอม อร่อย ก็เชื่อแน่ว่าในไม่ช้าข้าวหอมนครชัยศรีจะกลับมาเป็นข้าวที่ได้รับความนิยมอีกครั้งเช่นอดีตที่ผ่านมาอย่างแน่นอน

สำหรับเกษตรกร หรือเครือข่ายชุมชน ที่สนใจเรียนรู้เรื่องการปลูกพืชผัก และข้าวในระบบเกษตรอินทรีย์สามารถติดต่อมาได้ที่ มูลนิธิสังคมสุขใจ ศูนย์พัฒนาเกษตรอินทรีย์สุขใจ โทร. 0-3422-5203

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SMEsผู้จัดการ" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *


กำลังโหลดความคิดเห็น