รมว.กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเผย การที่ภาครัฐมีมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้ในส่วนของการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมจาก 200% เป็น 300% นั้น ผลักดันให้แนวคิดในการเพิ่มการลงทุนด้านงานวิจัยให้ได้ 1% ของจีดีพีมีความเป็นไปได้มากขึ้น และส่งผลดีต่อธุรกิจเอสเอ็มอีหันมาให้ความสนใจการทำวิจัยมากขึ้น
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการ มาตรการเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมตามที่กระทรวงการคลังเสนอเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2557 ที่ผ่านมา โดยมีสาระสำคัญเพิ่มมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลในส่วนการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมจาก 200% เป็น 300% ซึ่งมาตรการดังกล่าวมีความสำคัญต่อการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวช่วยเพิ่มการลงทุนวิจัยและพัฒนาของประเทศโดยรวมให้ได้ 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) และเพิ่มสัดส่วนการวิจัยและพัฒนาของเอกชน 70% ต่อ 30% ตามที่นายกรัฐมนตรีต้องการ
อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลของ สวทช.พบว่าตั้งแต่เริ่มมาตรการยกเว้นภาษีวิจัยและพัฒนา 200% ในระยะ 10 กว่าปีที่ผ่านมา เริ่มจากปี 2545 มีผู้ขอรับรองโครงการและใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีฯ คิดเป็นมูลค่า 65 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนในปี พ.ศ. 2555 นั้นผู้ขอรับรองโครงการมีมูลค่าถึง 1,465 ล้านบาท โดยมีมูลค่าโครงการสะสมถึง 5,670 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในภาพรวมของการลงทุนวิจัยในภาคเอกชน จากการสำรวจของกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ ยังพบว่าตัวเลขการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของภาคเอกชนเพิ่มขึ้นจาก 20,684 ล้านบาท เป็น 26,800 ล้านบาท ในรอบ 2-3 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ยังไม่เพียงพอต่อสภาพการแข่งขันทางธุรกิจที่เข้มข้นในปัจจุบัน ดังนั้น เมื่อมีมาตรการยกเว้นภาษีเพิ่มขึ้นเป็น 300% เชื่อว่าจะเป็นแรงจูงใจให้ภาคเอกชน เพิ่มการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา ทั้งที่เป็นเอกชนรายใหญ่และบริษัทข้ามชาติ และที่สำคัญจะส่งผลดีต่อธุรกิจเอสเอ็มอีของไทยที่เป็นซัปพลายเชนของภาคเอกชนดังกล่าว
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *
