เคยรู้สึกไหมกับการดื่มน้ำเต้าหู้ในวัยเด็ก (ย้อนไปเมื่อ 30 ปีที่แล้ว) กับรสชาติและความหอมที่ในปัจจุบันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เหตุผลหลักน่าจะอยู่ที่การคัดสรรวัตถุดิบและกรรมวิธีการผลิตที่ใช้เตาแก๊สเป็นหลัก ทำให้ลดทอนความหอมไป ล่าสุดสูตรน้ำเต้าหู้อาแปะในตำนานแห่ง จ.อุบลราชธานี ได้ถ่ายทอดสู่เด็กรุ่นใหม่ เติมความทันสมัยแต่ยังคงรสชาติเดิมอย่างเหนียวแน่น เนรมิตร้าน “น้ำเต้าหู้เตาถ่าน” เอาใจวัยโจ๋ เล็งเจาะห้างดัง กทม.
ในความเรียบง่ายของรถเข็นน้ำเต้าหู้ธรรมดาที่มีอาแปะกำลังสาละวนตักเครื่องและน้ำเต้าหู้ใส่ถุงและชามให้ลูกค้านั้น มีความไม่ธรรมดาแฝงอยู่ เริ่มจากเปิดขายตอนเที่ยงคืน แต่มีลูกค้ามาจอดรถนอนรอตั้งแต่ห้าทุ่ม และขายหมดเพียงไม่กี่ชั่วโมง ลูกค้ามีทุกเพศทุกวัย ถึงขนาดคนในยุคโซเชียลสร้างเพจให้เพื่อเป็นแหล่งแจ้งข่าวว่าวันนี้ร้านอาแปะเปิดขายหรือไม่จะได้ไม่ไปรอเก้อ
เรียกว่าพฤติกรรมเหล่านี้ของผู้บริโภคไม่ธรรมดาทีเดียว เพราะฉะนั้นรสชาติจะต้อง 'เด็ดจริง' และก็เป็นจริงดังว่า จากความหอมกรุ่นของน้ำเต้าหู้ที่ใช้เตาถ่านในกรรมวิธีการต้ม และความเข้มข้นของน้ำเต้าหู้ ความพิเศษเหล่านี้เองทำให้เด็กรุ่นใหม่เห็นความแตกต่าง และมองเห็นโอกาสต่อยอดธุรกิจ
“ณัฐธิดา พละศักดิ์” แม้เธอจะไม่ใช่ลูกหลานของอาแปะ แต่เล็งเห็นและมีความตั้งใจจริงกับการดำเนินธุรกิจร้านน้ำเต้าหู้ จึงบุกเข้าไปหาอาแปะถึงบ้านเพื่อให้สอนสูตร พร้อมนำเสนอแผนไอเดียธุรกิจ ซึ่งอาแปะเห็นความตั้งใจจริงจึงยอมสอน แต่ความยากอยู่ที่อาแปะไม่มีการชั่ง ตวง วัด ส่วนผสมแต่อย่างใด อาศัยประสบการณ์ล้วนๆ ทำให้เธอต้องอาศัยเวลาฝึกฝน และหมั่นนำไปให้อาแปะชิมจนมั่นใจว่าเป็นรสชาติเดียวกัน จึงตัดสินใจเปิดคาเฟ่ น้ำเต้าหู้ ที่ชื่อว่า “น้ำเต้าหู้เตาถ่าน” (Charcoal Stove Soymilk)
“การที่เราเปิดร้านน้ำเต้าหู้เตาถ่านขึ้นก็หวังจะให้เป็นเหมือนกาแฟที่ผู้คนเข้ามานั่งดื่มด่ำบรรยากาศ แถมยังได้สุขภาพดีกลับไปด้วย ซึ่งตอนแรกคิดว่าจะทำธุรกิจอะไรดี ที่นอกเหนือจากอาชีพดีไซเนอร์ที่ทำอยู่ โดยส่วนตัวชอบธุรกิจประเภทเครื่องดื่ม แต่ชานมไข่มุกเริ่มล้นตลาด ครั้นจะไปเปิดร้านขายนมก็เกรงว่าจะไม่เหมาะ เพราะน้องสาวรับประทานอาหารเจ ส่วนหลานก็แพ้นมวัว จึงคิดว่าน้ำเต้าหู้น่าจะเหมาะสมที่สุด ซึ่งน้ำเต้าหู้ของอาแปะมีจุดขายและสร้างความต่างได้ จึงคิดนำมาต่อยอดธุรกิจ ซึ่งพอได้เรียนรู้ขั้นตอนการผลิตก็ไม่ง่ายอย่างที่คิดต้องพิถีพิถันทุกขั้นตอนเพื่อคงไว้ซึ่งสูตรและรสชาติเดิม”
ร้านน้ำเต้าหู้เตาถ่าน ประเดิมสาขาแรกที่ จ.อุบลราชธานี ตกแต่งร้านเหมือนคาเฟ่ที่มีความทันสมัยแต่ขายน้ำเต้าหู้ที่ราคาเริ่มต้นที่แก้วละ 40-60 บาท ซึ่งเธอยอมรับว่าราคาค่อนข้างสูง และลูกค้าตกใจในราคา แต่เมื่อเข้ามาลิ้มลองและสัมผัสบรรยากาศจะรู้สึกว่าคุ้มค่า ไม่ต่างจากการนั่งจิบกาแฟตามคาเฟ่หรู
ตลอดระยะเวลา 2-3 เดือนในช่วงเริ่มต้นธุรกิจกระแสตอบรับดีมาก มีคนมาขอซื้อแฟรนไชส์จำนวนมาก รวมถึงยังได้ไปออกบูทเล็กๆ ที่ซอยทองหล่อทำให้น้ำเต้าหู้เตาถ่านเป็นที่รู้จักของคนกรุงจากความหอมหวานกลมกล่อม และความสดใหม่ที่ทำทุกวัน รวมถึงสูตรที่ใช้น้ำตาลมะพร้าว และน้ำตาลทรายแดงเพิ่มความหวานจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษ และเธอได้เรียนรู้ด้วยว่าการขายน้ำเต้าหู้เพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่มีความหลากหลายพอ ต้องมีสินค้าอื่นเป็นทางเลือกให้ลูกค้าด้วยเพื่อให้คุ้มกับค่าเช่าหากต้องมาทำธุรกิจในกรุงเทพฯ เธอจึงผลิตไอศกรีมเจลลาโตออกมาจำหน่าย ซึ่งส่วนผสมหลักยังคงเป็นน้ำเต้าหู้
“รสชาติของน้ำเต้าหู้เตาถ่านเมื่อลูกค้าได้ลิ้มลองมักจะบอกว่ารสชาติที่คุ้นเคยสมัยเป็นเด็ก แต่โตมาก็ไม่มีรสชาตินี้แล้ว ทำให้เราค่อนข้างภูมิใจ และหายเหนื่อย เนื่องจากน้ำเต้าหู้สูตรอาแปะทำยากมาก ขณะที่เครื่องเคียงก็เพิ่มความหลากหลาย เช่น ไข่มุกดำ-ขาว, คอร์นเฟล็ก, ทับทิมกรอบ, เยลลี, ไข่ลวก”
ปัจจุบันน้ำเต้าหู้เตาถ่านมี 3 รสชาติให้เลือกสรร 1. ไม่มีน้ำตาลเพื่อสุขภาพ 2. น้ำตาลไม่ฟอกสี และ 3. น้ำตาลมะพร้าว โดยแบบแช่เย็นบรรจุขวดแก้วราคา 50 บาท และแก้วพลาสติก 40 บาท เก็บได้นาน 7 วัน (ไม่ใส่เครื่อง) ในอุณหภูมิ 2-3 องศาเซลเซียส ขณะที่แบบร้อนลูกค้าส่วนใหญ่นิยมมาดื่มที่คาเฟ่ ราคาเริ่มต้นที่ 35 บาท และในอนาคตเธอจะเปิดขายแฟรนไชส์ในกรุงเทพฯ และวางจำหน่ายตามวิลล่า มาร์เก็ต หลังจากได้รับมาตรฐาน อย. พร้อมขยายสาขาเองที่ภาคอีสานตอนล่าง อย่าง จ.ยโสธร, มุกดาหาร, อำนาจเจริญ, สุรินทร์ และอุบลราชธานี
***สนใจติดต่อ 09-5451-5655 หรือที่ Facebook: น้ำเต้าหู้เตาถ่าน***
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *