“เอสเอ็มอีแบงก์” เผยส่งแผนฟื้นฟูหนี้เน่าให้แก่ สคร.เรียบร้อย แจงแนวทางตัดขาย และจ้างเอกชนบริหาร รวมทั้งพยุงลูกค้าที่ยังดำเนินกิจการอยู่ปรับโครงสร้างหนี้ให้โอกาสฟื้นชีพ พร้อมตั้งเป้าขยายสินเชื่อใหม่ปีหน้าขยาย 40,000 ล้านบาท เน้นช่วยรายย่อยวงเงินกู้ไม่เกิน 15 ล้านบาท
นางสาลินี วังตาล ประธานกรรมการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เผยว่า ธนาคารได้นำส่งแผนฟื้นฟูให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2557 ที่ผ่านมา โดยสาระสำคัญของแผนฟื้นฟูดังกล่าวคือ การแก้ไขหนี้เสีย ( NPLs) และการขยายสินเชื่อ Good Loan โดยมีการสรุปปัญหาขององค์กร แนวทางการแก้ไขปัญหา และทิศทางการดำเนินกิจการต่อไปใน 1 ปีข้างหน้า
สำหรับการแก้ไข NPLs ขณะนี้มีความคืบหน้าเป็นไปตามแผนที่วางไว้ คือ 1. ลูกหนี้ NPLs ที่มีหลักประกัน ซึ่งมียอดคงค้าง 11,000 ล้านบาท ธนาคารได้ประกาศเปิดประมูลขายลูกหนี้ที่มีหลักประกันตั้งอยู่ในเขตภาคตะวันออกเมื่อวันที่ 21 พ.ย. 2557 ซึ่งลูกหนี้กลุ่มนี้มียอดคงค้างประมาณ 500 ล้านบาท และขณะนี้มีบริษัทบริหารสินทรัพย์ให้ความสนใจเข้ามาดูข้อมูลหลายราย และจะให้ยื่นราคาซื้อในวันที่ 15 ม.ค. 2558
2. ลูกหนี้ NPLs ที่หยุดกิจการและไม่มีหลักประกัน มียอดหนี้คงค้างประมาณ 5,000 ล้านบาท จำนวนประมาณ 10,000 ราย ธนาคารได้ออกประกาศว่าจ้างเอกชนเข้ามาบริหาร มีผู้สมัคร 25 ราย ซึ่งขณะนี้คัดเลือกได้บ้างแล้ว เพื่อให้เข้ามาทำหน้าที่เจรจากับลูกหนี้แล้วเรียกเก็บหนี้ต่อไป
นอกจากนั้น ธนาคารได้ลงบันทึกข้อตกลงกับกรมบังคับคดี เพื่อให้ทางกรมบังคับคดี ทำหน้าที่เป็นคนกลางเจรจาไกล่เกลี่ยระหว่างธนาคารกับลูกหนี้ไม่มีหลักประกันที่เป็นรายย่อยซึ่งศาลมีคำพิพากษาแล้ว โดยจะเริ่มการเจรจาไกล่เกลี่ยในวันที่ 9 ธ.ค. 2557 นี้ สำหรับลูกหนี้ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่วนลูกหนี้ตามเขตภูมิภาคจะเจรจาในลำดับต่อไป
3. ในส่วนของลูกหนี้ NPLs ที่ยังดำเนินกิจการ ธนาคารเร่งทำการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งมีความคืบหน้าเป็นที่น่าพอใจ เพราะขณะนี้ NPLs ลดลง โดย ณ มิ.ย.อยู่ที่ 35,167 ล้านบาท (39.92% ของสินเชื่อรวม) ขณะที่เดือน ต.ค.อยู่ที่ 33,053 ล้านบาท (38.89% ของสินเชื่อรวม)
ประธานกรรมการเอสเอ็มอีแบงก์กล่าวอีกว่า ในส่วนการดำเนินการตามพันธกิจในปี 2558 นั้น ธนาคารมุ่งขยายสินเชื่อให้ SMEs รายย่อย โดยตั้งเป้าจะขยายสินเชื่อประมาณ 40,000 ล้านบาท ประกอบด้วย สินเชื่อ 9 เมนูคืนความสุข SMEs ที่เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย. 2557 วงเงิน 20,000 ล้านบาท และได้ตั้งวงเงินสินเชื่อเพิ่มอีก 20,000 ล้านบาท เป็นโครงการพิเศษ “สินเชื่อ SMEs คนดี” เป็นการให้สินเชื่อแก่ลูกค้าเดิมที่มีคุณภาพดีของธนาคาร และลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพ ดังนั้น ธนาคารคาดว่ายอดสินเชื่อคงค้างสุทธิ ณ สิ้นปี 2558 น่าจะอยู่ในระดับ 120,000 ล้านบาท เนื่องจากธนาคารตั้งเป้าจะปล่อยสินเชื่อใหม่ 40,000 ล้านบาทดังกล่าว และจะขาย NPLs ออกไปประมาณ 11,000 ล้านบาท ในขณะเดียวกันก็อาจมีลูกหนี้มาชำระคืนหรือ Refinance ไปอยู่กับธนาคารอื่น เป็นผลให้ยอดสินเชื่อสุทธิน่าจะเพิ่มขึ้น 30,000 ล้านบาท คือจาก 90,000 ล้านบาทในสิ้นปี 2557 ปรับขึ้นมาอยู่ในระดับประมาณ 120,000 ล้านบาทในสิ้นปี 2558 หรือคิดเป็นอัตราเพิ่มประมาณ 33%
ทั้งนี้ แม้ว่าจะเป็นอัตราเพิ่มที่มากอยู่บ้าง แต่เกิดขึ้นเนื่องจากธนาคารมีขนาดเล็ก ฐานสินเชื่อเดิมมีจำนวนไม่มากนัก ประการสำคัญที่สุด ธนาคารตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาคุณภาพสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นใหม่ จึงได้มีการจัดตั้งฝ่ายงาน Loan Monitoring เพื่อติดตามดูแลคุณภาพสินเชื่อ และกระจายพนักงานที่ทำงาน Loan Monitoring ไปอยู่สำนักงานเขตทั่วประเทศ
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.) ปี 2557 ของธนาคาร ค่อยๆ ปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยธนาคารมีกำไรสุทธิ 216 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากที่มีกำไรสุทธิ 116 ล้านบาท เพียงเดือน ก.ย. 2557 และจากที่ขาดทุนครึ่งปีแรก 41 ล้านบาท สาเหตุสำคัญเนื่องจากธนาคารสามารถขยายสินเชื่อรายย่อยได้ตามพันธกิจ ทำให้ดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน ธนาคารสามารถป้องกันลูกหนี้เดิมไม่ให้ตกชั้นเป็น NPLs และปรับโครงสร้างลูกหนี้ NPLs เดิมให้กลับมาเป็นลูกหนี้ปกติได้ จึงไม่มีภาระตั้งสำรองเพิ่ม
ในส่วนของการเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรเพื่อให้สามารถดำเนินกิจการต่อไปในระยะยาว ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่คณะกรรมการซูเปอร์บอร์ดให้ความสนใจด้วยนั้น ธนาคารอยู่ระหว่างปรับโครงสร้างองค์กร ทำให้สัดส่วนของพนักงานที่เกี่ยวข้องกับการหารายได้ (Front) ต่อพนักงานทั้งสิ้นขยับเพิ่มขึ้นจาก 44% ณ สิ้นเดือน มิ.ย. 2557 เป็น 60% ณ สิ้นเดือน ต.ค. 2557 และประเด็นสำคัญอีกประการหนึ่งที่ซูเปอร์บอร์ดให้ธนาคารปฏิบัติคือ การดูแลปลูกฝังเรื่องธรรมาภิบาล ความโปร่งใสในการดำเนินงาน รวมถึงการลงโทษผู้กระทำผิดอย่างจริงจัง ซึ่งธนาคารได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการให้สินเชื่อและการลงทุนในอดีตของธนาคารแล้ว พบว่ามีอยู่หลายกรณีที่ธนาคารเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยไม่สมควร ซึ่งธนาคารได้จัดให้มีคณะทำงานเพื่อสืบหาข้อเท็จจริงและจะฟ้องร้องดำเนินคดีต่อบุคคลภายนอกหรือพนักงานที่เป็นสาเหตุให้ธนาคารเกิดความเสียหาย หรือเสียเปรียบโดยไม่สมควรต่อไป
“คณะกรรมการธนาคารได้ให้ความเห็นชอบที่จะจ้างบริษัท อีวาย คอร์ปอเรท เซอร์วิสเซส ผู้สอบบัญชีระดับโลก ให้เข้าสำรวจระบบการควบคุมภายในเพื่อทำการปรับปรุงในส่วนที่บกพร่องอยู่ รวมทั้งทำหน้าที่ตรวจสอบภายในหน่วยงานต่างๆ ในสำนักงานใหญ่ ทั้งด้านการเงิน การปฏิบัติงาน และระบบงานคอมพิวเตอร์ รวมถึงการปฏิบัติงานของสาขาทั่วประเทศอีกด้วย เพื่อให้เกิดความโปร่งใส และพนักงานของธนาคารจะมีโอกาสเรียนรู้วิธีการตรวจสอบที่ถูกต้องจากบริษัทอีวายฯ ต่อไป” นางสาลินีกล่าว
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *