การทำ Drop ship ในโลกการค้าออนไลน์เป็นที่นิยมและมีผู้ที่ทำระบบนี้ประสบความสำเร็จกันมากในต่างประเทศ เป็นวิธีการที่ผู้ขายไม่ต้องมีสต๊อกสินค้า และไม่ต้องยุ่งยากในการจัดส่ง
พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือผู้ขาย (seller) จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการนำสินค้าของผู้อื่น (supplier) ไปขาย โดยได้ผลตอบแทนเป็นกำไรจากส่วนต่างของต้นทุนสินค้า ส่วนเจ้าของสินค้าหรือซัพพลายเออร์ก็จะได้ผลตอบแทนในการมีผู้กระจายสินค้าจากสต็อกไปยังผู้บริโภค (customers) ให้ได้มากที่สุด หรือเรียกง่ายๆ ก็คือมีคนช่วยขายของนั่นเอง
ในกระบวนการนี้ supplier จะเป็นคนทำทุกสิ่งทุกอย่างแทน seller หมด seller แค่เพียงนำภาพสินค้าไปโพสต์หน้าเว็บ เมื่อมีลูกค้าสั่งสินค้า seller ก็เพียงแค่แจ้งออเดอร์และที่อยู่ของลูกค้าไปยังเจ้าของสินค้า จากนั้นเจ้าของสินค้าก็จะดำเนินการจัดส่งสินค้าไปยังลูกค้าโดยตรง seller มีหน้าที่เก็บเงินจากลูกค้าและหักต้นทุนส่งให้เจ้าของสินค้าเท่านั้นเอง
สำหรับในประเทศไทยวิธีการนี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก แต่เมื่อกระแส E-commerce ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก โมเดลการทำ Drop ship จึงเป็นเรื่องที่น่าจับตาศึกษาในเวลานี้
วิธีการทำ Drop ship มีขั้นตอนอย่างไร ?
1. หาสินค้าที่ต้องการขายจากซัพพลายเออร์ที่ให้บริการในระบบ Drop ship
2. ติดต่อซัพพลายเออร์ที่ให้บริการ Drop ship เจรจาเพื่อเสนอเป็นตัวแทนขาย
3. ทำการขายด้วยการ copy ภาพและข้อมูลจากซัพพลายเออร์ ในช่องทางการขายต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์
4. เมื่อขายสินค้าได้ ลูกค้าจะทำการโอนเงินมายัง seller จากนั้น seller จะทำการโอนเงินส่วนที่เป็นต้นทุนกลับไปยังซัพพลายเออร์พร้อมที่อยู่ลูกค้าเพื่อให้ซัพพลายเออร์ทำการจัดส่งสินค้าไปให้ลูกค้า เป็นการเสร็จสิ้นกระบวนการนี้
เราเห็นระบบการทำ Drop ship ที่ไหนบ้าง?
1. ส่วนใหญ่ระบบการทำ Drop ship จะอยู่ตามระบบการประมูลสินค้าบนเว็บไซต์ E-commerce ระดับโลก อย่าง eBay, Amazon, Alibaba ฯลฯ (สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก www.worldwidebrands.com)
2. ในประเทศไทยก็เริ่มเห็นได้บ้าง อย่างกลุ่มสินค้าแฟชั่น จำพวก เสื้อผ้าเกาหลี กระเป๋าแบรนด์เนม เครื่องประดับ รองเท้าแฟชั่น ในเว็บไซต์ที่รวมแหล่งสินค้าที่ทำระบบ Drop ship ไว้บริการ อย่าง www.dropshipthai.com (เป็นการขายบวกกำไร อาจมีระบบเสียค่าสมัครสมาชิก)
ข้อดีของการทำระบบ Drop ship
สำหรับ supplier
1.กระจายสินค้าได้เร็วและจำนวนมาก
2.มีรายได้เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับการที่ต้องขายเองตามลำพัง
3.ทำให้เกิดการหมุนเวียนสินค้าอยู่ตลอด
สำหรับ seller
1.ไม่ต้องมีสต๊อกสินค้า (ไม่มีต้นทุนในเรื่องของสินค้า)
2.ไม่ต้องรับผิดชอบในการจัดส่งสินค้า เพราะเจ้าของสินค้าทำให้หมด
3.ประหยัดเวลาในการเริ่มต้นธุรกิจ เพราะมีข้อมูลสินค้าพร้อมรูปภาพไว้ให้แล้ว
**********************
ที่มา: พิชชานันท์ สุโกมล ผู้เขียน
