พาณิชย์เผยยอดจดทะเบียนธุรกิจเดือน ม.ค.เพิ่ม 83% ธุรกิจก่อสร้างอาคารมาแรงคนแห่จัดตั้งบริษัทใหม่ รองลงมาเป็นขายส่งเครื่องจักร รับห่วงการบริโภคในประเทศ และการลงทุนภาคเอกชนฉุดเชื่อมั่นผู้ประกอบการ
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าในเดือนมกราคม 2557 ผู้ประกอบธุรกิจยื่นขอจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัทจัดตั้งใหม่ทั่วประเทศจำนวน 5,317 ราย เพิ่มขึ้น 2,411 รายคิดเป็น 83% เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2556 ซึ่งมีจำนวน 2,906 ราย และลดลง 2,867 ราย คิดเป็น 35% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2556 ซึ่งมีจำนวน 8,184 ราย สำหรับนิติบุคคลที่จดทะเบียนเลิกทั่วประเทศในเดือนมกราคม 2557 มีจำนวน 1,420 ราย
ทั้งนี้ มูลค่าทุนจดทะเบียนจัดตั้งใหม่ในเดือนมกราคม 2557 มีจำนวนทั้งสิ้น 29,640 ล้านบาท ลดลงจำนวน 4,173 ล้านบาท คิดเป็น 12% เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2556 ซึ่งมีจำนวน 33,813 ล้านบาท และลดลงจำนวน 11,118 ล้านบาท คิดเป็น 27% เมื่อเทียบกับเดือนมกราคม 2556 ซึ่งมีจำนวน 40,758 ล้านบาท
ประเภทธุรกิจที่จดทะเบียนจัดตั้งสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ก่อสร้างอาคารที่พักอาศัย จำนวน 447 ราย อสังหาริมทรัพย์เพื่อพักอาศัย จำนวน 221 ราย ขายส่งเครื่องจักร จำนวน 142 ราย ให้คำปรึกษาด้านการจัดการ จำนวน 138 ราย และขายส่งวัสดุก่อสร้าง จำนวน 108 ราย ทั้งนี้ กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ปรับปรุงการจัดประเภทธุรกิจจากการจัดประเภทมาตรฐานอุตสาหกรรม (ประเทศไทย) ปี 2544 (Thailand Standard Industrial Classification : TSIC) ปี 2544 เป็น TSIC ปี 2552 ตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม 2557
ปัจจุบัน ณ วันที่ 31 มกราคม 2557 มีห้างหุ้นส่วนบริษัทจำกัดดำเนินกิจการอยู่ทั่วประเทศจำนวน 554,743 รายมีทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้น 10.76 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นบริษัทจำกัด 384,006 ราย บริษัทมหาชนจำกัด 1,039 ราย และห้างหุ้นส่วนจำกัด/ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล 169,698 ราย
สำหรับในเดือนมกราคม 2557 มีจำนวนการจดทะเบียนจัดตั้งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาสวนทางกับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจอื่นๆ ที่ปรับลดลงทั้งหมด เช่น ดัชนีการผลิตภาคอุตสาหกรรม การลงทุนภาคเอกชน ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจและจากสถิติการจดทะเบียนจัดตั้งย้อนหลัง 5 ปี (2553-2557) พบว่า การจดทะเบียนจัดตั้งช่วงเดือนมกราคมของทุกปีมีอัตราเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 84% เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคมของปีที่ผ่านมา
สำหรับแนวโน้มการจดทะเบียนจัดตั้งในปี 2557 นั้น คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการได้รัฐบาลใหม่ภายหลังการเลือกตั้งจะมีส่วนช่วยสนับสนุนให้ภาคธุรกิจเกิดความเชื่อมั่นมากขึ้น อย่างไรก็ตามยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ การบริโภค การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายภาครัฐ สถานการณ์ทางการเมือง รวมทั้งมูลค่าและสถานะการส่งออก ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ และการจดทะเบียนธุรกิจโดยรวม
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SME ผู้จัดการออนไลน์” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *