ภาครัฐและเอกชนประสานเสียงชี้ตลาด CLMV ขุมทองของเอสเอ็มอีไทย โอกาสขยายการค้าและลงทุนยังเปิดกว้าง แนะต้องเตรียมพร้อมก่อนลุย ด้าน ปธ.หอกาค้าไทย ห่วงการเมืองไทยตัวลดความเชื่อมั่น ขณะที่ปลัดพาณิชย์ มั่นใจส่งออกไตรมาสแรกขาขึ้น ขณะที่ "7-11" เผยม็อบไม่กระทบธุรกิจ แถมสาขาในพื้นที่ชุมนุมยอดขายเพิ่ม
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวในการเป็นประธานเปิดงานสัมมนา “บุกตลาด CLMV…อนาคตเอสเอ็มอีไทยในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” ว่า ตลาด CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม) มีการเติบโตอย่างสูง ประมาณร้อยละ 6.5 ต่อปี อีกทั้ง ยังมีข้อได้เปรียบเรื่องทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ และค่าแรงยังไม่สูงมากนัก นอกจากนั้น ยังเป็นประตูเชื่อมต่อการค้าไปยังประเทศจีนและอินเดียด้วย จึงถือเป็นโอกาสสำหรับเอสเอ็มอีไทยที่จะไปลงทุน หรือขยายตลาด
ทั้งนี้ ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบ ในด้านทำเลตั้งอยู่ศูนย์กลางของอินโดจีน จึงเหมาะเป็นจุดกระจายสินค้าไปยังประเทศในกลุ่ม CLMV อีกทั้งสินค้าของไทยเป็นที่นิยมของตลาด CLMV ด้วย ดูได้จากการค้าชายแดนต่อปี มูลค่ารวมกว่า 4 แสนล้านบาทต่อปี ซึ่งประเทศไทยได้เปรียบดุลการค้าเกือบทุกประเทศ ทว่า สิ่งสำคัญก่อนที่เอสเอ็มอีไทยจะไปขยายตลาด ต้องเตรียมพร้อมโดยศึกษาความเสี่ยงเรื่องกฎระเบียบต่างๆ รวมถึง การเมืองที่ซับซ้อน และควรมองความสำเร็จในระยะยาว
นายอิสระ กล่าวด้วยว่า สำหรับปัญหาการเมืองในเมืองไทยในเวลานี้ ทางหอการค้าไทยยังไม่สามารถประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนได้ แต่ภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างชัดเจนแล้ว คือ ธุรกิจบริการท่องเที่ยว ทั้งโรงแรมที่พัก ร้านอาหารฯลฯ ยอดลดลงอย่างมาก ส่วนภาคการผลิตเวลานี้ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ทว่า หากสถานการณ์ยืดเยื้อยาวนาน จะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน รวมถึง การจับจ่าย ซึ่งในส่วนของภาคเอกชน มีความเป็นห่วงกังวลอย่างยิ่ง
ส่วนนางศรีรัตน์ รัษฐปานะ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวในการปาฐกถาพิเศษหัวข้อ "ภาครัฐกับการสนับสนุนสินค้าไทยสู่ตลาดอาเซียน" ว่า กระทรวงพาณิชย์เน้นปรับระบบการทำงานเป็นทีม จัดระบบหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ต้นน้ำกลางน้ำและปลายน้ำ เพื่อเอื้อแก่การทำธุรกิจของเอสเอ็มอีไทยมากที่สุด โดยมุ่งส่งเสริมทั้งเอสเอ็มอีที่ทำการค้าในและส่งออกต่างประเทศ
ทั้งนี้ การออกไปทำตลาดอาเซียนยังเป็นโอกาสสำหรับเอสเอ็มอีไทย อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีควรเน้นด้านมาตรฐานและคุณภาพระดับอาเซียน ซึ่งถือเป็นจุดขายหลักของสินค้าจากประเทศไทย อีกทั้ง ควรมุ่งเจาะตลาดกลางบน ซึ่งถือเป็นตลาดที่สินค้าของเอสเอ็มอีมีศักยภาพเหมาะสมที่สุด ควบคู่กับพยายามหาทางลดต้นทุนให้ต่ำที่สุด เช่น ทำการค้าผ่านระบบไอที เป็นต้น
นางศรีรัตน์ กล่าวด้วยว่า การส่งออกไทยปีนี้ (2557) แนวโน้มไตรมาสแรก จะขยายตัวเป็นบวก เนื่องจากความต้องการซื้อจากคู่ค้าเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่า กังวลสถานการณ์การเมืองอาจมีผลกระทบต่อการส่งออก จึงมอบหมายให้ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ หรือทูตพาณิชย์ ทำงานร่วมกับสถานทูตชี้แจงสถานการณ์ในไทย เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของผู้ซื้อต่างชาติ ซึ่งยังคาดว่าการส่งออกทั้งปีจะสามารถขยายตัวได้ที่ร้อยละ 5 ขณะที่สถานการณ์การเมืองในประเทศ เริ่มมีผลกระทบต่อยอดคำสั่งซื้อสินค้าบ้างเล็กน้อย ซึ่งผู้ประกอบการได้ปรับตัวด้วยการเพิ่มข้อเสนอพิเศษเพื่อจูงใจคู่ค้ามากขึ้น
ด้านนายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล รองประธานกรรมการบริหาร บมจ.ซีพี ออลล์ ผู้บริหารร้านเซเว่นอีเลฟเว่น (7-11) กล่าวว่า จากความไม่สงบทางการเมืองที่เกิดขึ้น ขณะนี้ยังไม่กระทบต่อการดำเนินธุรกิจค้าปลีกของบริษัทฯ เนื่องจากสามารถขนส่งสินค้าได้ตามปกติ โดยเฉพาะช่วงกลางคืน การส่งสินค้าสะดวกอย่างยิ่ง นอกจากนั้น ยังพบว่าสาขาที่อยู่ในพื้นที่ชุมนุมมียอดขายเพิ่มขึ้น ขณะที่สาขาในต่างจังหวัดมียอดขายลดลงบ้างเล็กน้อย และเชื่อว่าทั้งปีการดำเนินธุรกิจจะขยายตัวได้ร้อยละ 5 โดยตั้งเป้าปีนี้ 7-11 จะขยายสาขาเพิ่มอีก 600 สาขา
ทั้งนี้ บมจ. ซีพี ออลล์ ร่วมกับสถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้ร่วมจัดสัมมนา “บุกตลาด CLMV…อนาคตเอสเอ็มอีไทยในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน” เตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการขยายการค้าไปยังประเทศแถบกัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SME ผู้จัดการออนไลน์” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *