สภาอุตสาหกรรม รับมือ AEC แนะรัฐฯ ทำศูนย์ข้อมูล AEC ทางลัดช่วยภาคธุรกิจบุกตลาดอาเซ๊ยน พบอุตสาหกรามไฮเทคของไทยได้เปรียบประเทศเพื่อนบ้าน โอกาสดีผู้ส่งออกเจาะตลาด ส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ คาดปี 57 ขยายตัวต่อเนื่อง
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก และการเปิดประตูเศรษฐกิจ AEC ที่ใกล้เข้ามา รวมถึงปัจจัยต่างๆ ทางเศรษฐกิจ การเมือง ที่กำลังรุมเร้า ทำให้นักอุตสาหกรรมทั้งหลายควรปรับตัว เตรียมความพร้อมรับมือเพื่อข้ามผ่านไปสู่โลกแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในภูมิภาคอาเซียน โดยอาจกล่าวได้ว่า AEC จะเป็นประตูสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวในด้านการค้า และการลงทุนของประเทศ ซึ่งไทยถือเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมตั้งแต่กลุ่มเกษตรอุตสาหกรรม ไปจนถึงกลุ่มอุตสาหกรรมไฮเทคต่างๆ ที่สำคัญของภูมิภาค นอกจากนี้ ไทยยังได้เปรียบด้านยุทธศาสตร์เพราะตั้งอยู่ในจุดที่เป็นศูนย์กลางภูมิภาค
สำหรับอุตสาหกรรมในปี 2557 ที่มีแนวโน้มขยายตัว อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งในปี 2556 ยอดการซื้อรถยนต์ภายในประเทศจะลดลง ภายหลังหมดโครงการรถยนต์คันแรก แต่ยอดการส่งออกรถยนต์กลับขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามารถชดเชยตลาดรถยนต์ในประเทศได้ ทำให้มียอดการผลิตรถยนต์ในปีนี้ประมาณ 2.55 ล้านคัน โดยตลาดส่งออกที่ขยายตัวในระดับสูง ได้แก่ ตลาดอาเซียน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ ที่มีคำสั่งซื้อรถกระบะเข้ามาจำนวนมาก คาดว่าเป็นผลจากคำสั่งซื้อที่ค้างมาตั้งแต่ปี 2555 ซึ่งผู้ผลิตไม่สามารถผลิตส่งออกได้ เนื่องจากต้องผลิตรถป้อนความต้องการในประเทศที่สูงตามการกระตุ้นจากโครงการภาครัฐ
ทั้งนี้การผลิตรถยนต์ในปี 2557 จะสูงกว่า 2.55 ล้านคัน แต่จะขยายตัวไปถึง 2.6-2.7 ล้านคันหรือไม่ คงต้องติดตามปัจจัยต่างๆ ที่จะเข้ามา โดยที่สภาอุตสาหกรรมฯ มองว่าหากสถานการณ์การเมืองอยู่ในภาวะปกติ ราคาพลังงานไม่อยู่ในระดับที่สูงจนเกินไป ราคาพืชผลเกษตรได้รับการดูแลไม่ให้ต่ำจนเกินไป ทั้งข้าว ยางพารา ก็จะส่งผลดีกับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังซื้อเพิ่มขึ้น ทำให้ค่ายรถต้องเพิ่มยอดการผลิตสูงกว่าในปี 2556
ส่วนอุตสาหกรรมอาหาร ภาพรวมการส่งออกในปี 2556 น่าจะเติบโตได้ร้อยละ 5 มากกว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 3 เนื่องจากในปี 2556 ไทยมีปัญหาการส่งออกกุ้งที่เกิดโรคระบาดทำให้กุ้งตายเป็นจำนวนมาก แต่มองว่าภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารในปี 2557 น่าจะดีขึ้น โดยคาดว่า จะเติบโตประมาณร้อยละ 5-7 ตามการบริโภคอาหารของโลกที่เพิ่มขึ้น เศรษฐกิจโลกดีขึ้น ประกอบกับประเทศอาเซียน และตะวันออกกลางมีความต้องการอาหารจากไทยเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งกลายเป็นกลุ่มตลาดส่งออกใหม่ของไทย
“ทั้งนี้ยังมีอุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ หัตถอุตสาหกรรม (ของเล่น) อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง รวมถึงอุตสาหกรรมไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องปรับอากาศ ซึ่งพบว่า เมื่อใกล้เข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน การผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีการเพิ่มกำลังการผลิตเกือบทุกโรงงาน และคาดว่าเมื่อภาวะเศรษฐกิจโลกปรับตัวดีขึ้นการเติบโตของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จะสามารถสนองตอบต่อการขยายตัวของภาวะเศรษฐกิจโลกได้เป็นอย่างดี และอีกอุตสาหกรรมที่ไม่ควรมองข้ามคือกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ที่มีแนวโน้มขยายตัวไปยังตลาดเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามซึ่งน่าจะเป็นตลาดส่งออกที่ดี” นายพยุงศักดิ์ กล่าว
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *