xs
xsm
sm
md
lg

ชี้ปมสิ่งทอหันแข่งตัดราคา เร่งโครงการเพิ่มมูลค่าแฟชั่นไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นางสุทธินีย์ พู่ผกา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ
สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอชี้ ส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทยในช่วง 7 เดือนแรกของปีมูลค่ากว่า 4.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1% ชี้ปัญหาต้นทุนผลิตสูงขึ้น คู่แข่งหันสู้ด้านราคา ระบุเร่งผลักดันโครงการเสริมมูลค่าแฟชั่นไทยผ่าน 4 กิจกรรม แจงผลงานช่วยให้เกิดสินค้าใหม่พร้อมออกสู่ตลาดกว่า 100 รายการ และพัฒนาบุคลากรกว่า 1,000 ราย

นางสุทธินีย์ พู่ผกา ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ กล่าวว่า มูลค่าการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มตั้งแต่เดือน ม.ค.-ก.ค. 2556 รวม 4,435 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 4.1 โดยประเทศคู่ค้าที่สำคัญคือ สหรัฐฯ ญี่ปุ่น จีน และอาเซียน โดยเฉพาะในตลาดอาเซียน คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 22 มีมูลค่า 832 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วร้อยละ 9.3

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการส่งออกสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยไปสู่ตลาดโลกมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันผู้ประกอบการต้องประสบกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำที่สูงขึ้น ส่งผลให้ตลาดอุตสาหกรรมแฟชั่นต้องแข่งขันทางด้านราคาอย่างเข้มข้นมากขึ้น ประกอบกับการขาดแคลนแรงงานที่มีคุณภาพ ทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ดังนั้นจึงต้องเร่งเพิ่มมูลค่าด้วยการบริหารจัดการองค์ความรู้ (Knowledge Management) และสร้างความแตกต่างทางสินค้าและบริการ (Value Creation)

ทั้งนี้ สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอได้ดำเนิน “โครงการวิถีไทยก้าวไกลสู่แฟชั่น (Thailand Grand Living)” โดยใช้การตลาดนำการผลิต เพิ่มขีดความสามารถอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มตั้งแต่ต้นน้ำสู่ปลายน้ำโดยใช้การวิจัยและพัฒนา สร้างนวัตกรรม พัฒนานักออกแบบส่งเสริมสินค้าแฟชั่นครอบคลุมถึงการขยายช่องทางและโอกาสทางการตลาด พร้อมสร้างสรรค์สินค้าจากวัฒนธรรม หวังสร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างานสร้างอาชีพ พัฒนาบุคลากรเตรียมความพร้อมสู่ตลาด AEC และตลาดสากล และสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจสู่วิสาหกิจชุมชน โดยการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างวิสาหกิจชุมชนในแต่ละภูมิภาคและภาครัฐผ่าน 4 กิจกรรมหลัก คือ

กิจกรรมที่ 1 การถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (InnovativeTrends) ประกอบไปด้วย 1) การพัฒนาผ้าทอพื้นเมืองด้วยเทคนิคการพิมพ์เส้นยืนแบบซิลค์สกรีน 2) การพัฒนาเส้นใยและผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์จากพอลิบิวทิลีนเทเรพแทเลต (PolybutyleneTerephthalate:PBT) 3) การพัฒนาเครื่องเค้นเส้นใยธรรมชาติ เพื่อพัฒนาเส้นใยกัญชงสู่เชิงพาณิชย์ 4) การพัฒนาผลิตภัณฑ์กระเป๋าจากผ้าฝ้ายทอมือ ด้วยเทคนิคการ Coating และ Laminated และ 5) การวิจัยเพื่อสร้างองค์ความรู้ และพัฒนาวิธีการขึ้นรูปเส้นใยด้วยวิธีแบบปั่นเปียก (Wet Spinning)

กิจกรรมที่ 2 การยกระดับการออกแบบผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเชิงสร้างสรรค์(Design Trends) ดำเนินการฝึกอบรมผู้ประกอบการ และวิสาหกิจชุมชน โดยใช้แนวคิดจากภูมิปัญญา วิถีชีวิต ศิลปวัฒนธรรม เอกลักษณ์ของแต่ละภูมิภาคเข้ามาประยุกต์ใช้ และสร้างความแตกต่างให้แก่ผลิตภัณฑ์สิ่งทอใน 4 ภูมิภาค โดยกิจกรรมดังกล่าว มีผู้ประกอบการหรือกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเข้าร่วมโครงการจำนวน 740 รายจาก 4 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ และเกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ที่หลากหลายรูปแบบกว่า 50 ผลิตภัณฑ์

กิจกรรมที่ 3 การใช้เทคโนโลยีสะอาด (Sustainable Trends) สำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอขนาดกลาง ขนาดเล็ก ในส่วนกลางและภูมิภาค เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เน้นกลุ่มอุตสาหกรรมให้สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสะอาดเพื่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์สิ่งทอที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

กิจกรรมที่ 4 การสร้างฐานข้อมูลสิ่งทอและแฟชั่น (Trend Intelligence) ดำเนินการศึกษา วิเคราะห์ พร้อมจัดหาข้อมูลในด้านต่างๆ เช่น การตลาด แฟชั่น กฎระเบียบ เทคโนโลยี เป็นต้น

กิจกรรมที่ 5 ติดตามและประเมินผล ศึกษาสถานการณ์แข่งขันของอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทยในปัจจุบัน พร้อมระดมความคิดเห็นอนาคตอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยในบริบทอาเซียน โดยจากการศึกษาพบว่ามูลค่าการส่งออกอุตสาหกรรมสิ่งทอในปี 2555 มีมูลค่าอยู่ในอันดับที่ 18 ของโลก คิดเป็นมูลค่า 4.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมีมูลค่าการส่งออกอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มอยู่อันดับที่ 26 ของโลก คิดเป็นมูลค่า 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมูลค่าการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยไปยังอาเซียนมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราการเติบโตเฉลี่ยปี 2007-2012 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 แบ่งเป็นสิ่งทอเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 และเครื่องนุ่งห่มเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.46

นางสุทธินีย์กล่าวต่อว่า สำหรับอนาคตอุตสาหกรรมสิ่งทอไทยในอาเซียน ประเทศไทยมีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ซึ่งตั้งอยู่ศูนย์กลางของภูมิภาค ดังนั้นไทยจะต้องสร้างเครือข่ายความร่วมมืออย่างจริงจังเพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางการค้าและการกระจายสินค้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของอาเซียน นอกจากนี้จำเป็นต้องสร้างเอกลักษณ์และสร้างความแตกต่างให้กับผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย โดยควรให้ความสำคัญต่อการวิจัยและพัฒนานวัตกรรม รวมทั้งให้ความสำคัญต่อประสิทธิภาพการผลิต โดยมุ่งเน้นการใช้วัตถุดิบและพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ

นางสุทธินีย์กล่าวต่อว่า จากโครงการดังกล่าวก่อให้เกิดการพัฒนาบุคลากรแก่ผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชน สามารถพัฒนาทักษะ สร้างงาน สร้างอาชีพด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มจากนวัตกรรมสิ่งทอผ่านการออกแบบและถ่ายทอดความรู้ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้นแบบใหม่ๆ หลากหลายรูปแบบพร้อมออกสู่ตลาดรวมกว่า 100 รายการและพัฒนาบุคลากร ผู้ประกอบการ และวิสาหกิจชุมชนได้กว่า 1,000 ราย เตรียมพร้อมปูพื้นฐานในการเป็นฐานการผลิตสิ่งทอเพื่ออนาคต พร้อมเข้าสู่เออีซี และหากดำเนินการอย่างต่อเนื่อง คาดว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทยจะสามารถเพิ่มมูลค่าการส่งออกได้มากกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่มสัดส่วนตลาดส่งออกในอาเซียนเป็นร้อยละ 15

* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SME ผู้จัดการออนไลน์” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *


กำลังโหลดความคิดเห็น