เป็นที่รู้กันว่าอุตสาหกรรมเซรามิกเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานในภาคการผลิตจำนวนมาก เรียกได้ว่ากว่าจะออกมาเป็นแก้วเซรามิกสักชิ้น แรงงาน “คน” ต้องเข้าไปมีบทบาทในทุกกระบวนการ ดังนั้นในเรื่องค่าแรง 300 บาทจึงเป็นภาวะจำยอม แม้ผู้ประกอบการจะเตรียมการตั้งรับไว้เต็มที่แค่ไหนคงไม่พ้นวิกฤตครานี้
สัญญาณวิกฤตเริ่มโผล่เค้าลางเป็นภาพเด่นชัด จากตัวเลขการปิดกิจการของผู้ประกอบการเซรามิกส่งออกในช่วง 6 เดือนแรกของปี เห็นได้ชัดกับแหล่งผลิตที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อย่างจังหวัดลำปาง ที่โดดเด่นด้านดินขาวคุณภาพมาช้านาน เหมาะต่อการนำมาทำเซรามิกมากที่สุด โดนวิกฤตค่าแรง 300 บาทก่อนใคร
จากคำบอกเล่าของผู้ประกอบการเซรามิกเน้นงานดีไซน์ มีเอกลักษณ์โดดเด่นด้านเทคนิคการเผา ใช้สีให้เกิดลวดลายที่แตกต่าง “นายเรวัตร ไชยยารักษ์” กรรมการผู้จัดการบริษัท นาปางคูณเซรามิก จ.ลำปาง ให้ข้อมูลว่า หลังจากนโยบายของรัฐบาลให้มีการเพิ่มค่าแรงขึ้นเป็น 300 บาท ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ได้เร่งปรับตัวเตรียมการตั้งรับ แต่ทำได้ไม่มากนักเนื่องจากกระบวนการผลิตเซรามิกยังต้องพึ่งพาแรงงานฝีมือเป็นหลัก ส่งผลต้นทุนการผลิตสูงขึ้น แข่งขันยาก โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ
ทำให้ในช่วงครึ่งปีแรกผู้ประกอบการด้านการส่งออกเซรามิกของไทยทยอยปิดกิจการลงกว่า 20-30% ซึ่งไม่เพียงแต่ได้รับผลกระทบจากค่าแรงขั้นต่ำเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับพิษเศรษฐกิจที่รุมเร้ารอบด้านทั้งในประเทศและต่างประเทศ เรียกได้ว่าวิกฤตนี้ “รุนแรงกว่าปี 40” ด้วยซ้ำ เพราะขณะนี้ตัวเลขการปิดกิจการยังไม่นิ่ง ซึ่งโดยส่วนตัวเขายังมองไม่เห็นอนาคตกับเซรามิกลำปางว่าจะเดินต่อไปในทิศทางใด?!! แถมโอดครวญขอรัฐฯ จำนำเซรามิกเหมือนรับจำนำข้าวบ้าง
เป็นที่น่าสังเกตว่าข้อมูลจากภาคเอกชนที่ออกมาจากผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมนี้โดยตรง กลับ “สวนทาง” กับภาครัฐฯ ที่บอกว่ามีผู้ประกอบการเพียงรายเดียวเท่านั้นที่ปิดตัวไป และไม่ได้เกิดจากผลกระทบในแง่ต้นทุนค่าแรงหรือพิษเศรษฐกิจโลก แต่เพียงเพราะมีการขัดแย้งกับหุ้นส่วนเท่านั้น ขณะที่มีผู้ประกอบการประมาณ 10 รายเข้าขอความช่วยเหลือจากภาครัฐฯ เรื่องลดต้นทุน และหาตลาดใหม่ให้เท่านั้น
รองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม “นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์” ให้ข้อมูลเกี่ยวกับกรณีนี้ว่า หลังผู้ประกอบการต้องเผชิญกับสภาวะต้นทุนการผลิตที่ปรับตัวสูงขึ้น ทั้งค่าแรง 300 บาท การปรับราคาของก๊าซในภาคอุตสาหกรรม และความผันผวนของค่าเงินบาทนั้น โรงงานขนาดกลางที่มีการจ้างงานประมาณ 200 คนได้รับผลกระทบจากค่าจ้างแรงงานเลือกลดขนาดของธุรกิจลง ขณะที่ภาครัฐฯ ยื่นมือเข้าช่วยเหลือรอบด้าน ทั้งจากนโยบายของทางกรมฯ เอง ระดับมหภาค อย่างโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อยกระดับความสามารถทางการแข่งขัน (MDICP) โครงการเสริมสร้างผู้ประกอบการใหม่ (NEC) และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารต้นทุน (CORE) ขณะที่ในปี 2556 ทางกรมฯ วางยุทธศาสตร์ในการสร้างและพัฒนาธุรกิจอุตสาหกรรมให้เติบโตและสามารถแข่งขันได้ พร้อมแผนการยกระดับขีดความสามารถทางอุตสาหกรรมแก่ผู้ประกอบการเซรามิกผ่าน 40 โครงการอีกด้วย
ขณะที่ศูนย์พัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิก จ.ลำปาง ก็เป็นหนึ่งในพลังขับเคลื่อนภาคธุรกิจนี้ นำเอาผู้ประกอบการ 40 รายมารวบรวมไว้ หวังเป็นหน้าร้าน และแหล่งพบปะระหว่างผู้ซื้อกับ ผู้ขายทั้งปลีกและส่ง รวมถึงยังเป็นแหล่งองค์ความรู้ด้านเซรามิกลำปางแบบครบวงจร แต่น่าเสียดายที่ขาดการ “โปรโมต” อย่างจริงจัง นักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยยังไม่รู้ว่ามีสถานที่แห่งนี้ใน จ.ลำปาง ทั้งที่เป็นแหล่งจำหน่ายเซรามิกใหญ่อันดับต้นๆ ของไทย
แต่นั่นจะเพียงพอสำหรับการต่อ “ลมหายใจ” เซรามิกลำปางหรือไม่? สิ้นปีนี้คงได้รู้กัน...
***ข้อมูลเกี่ยวกับเซรามิกลำปาง***
ปัจจุบันผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเซรามิกไทยมีจำนวนกว่า 739 ราย มีฐานการผลิตหลักอยู่ที่จังหวัดลำปาง, ราชบุรี, สระบุรี, เชียงใหม่, สมุทรสาคร และสุโขทัย โดยปี 2555 ที่ผ่านมามีมูลค่าการส่งออกเซรามิกในประเทศกว่า 18,139.9 ล้านบาท และกว่า 70% ของผู้ประกอบการที่ส่งออกอยู่ในจังหวัดลำปาง ซึ่งมีโรงงานผลิตเซรามิกกว่า 200 โรงงาน มีแรงงานรวมกันกว่า 9,000 คน และมีเงินลงทุนรวมกว่า 2,450 ล้านบาท สามารถผลิตเพื่อการบริโภคทั้งในและต่างประเทศ โดยตลาดหลักอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป และประเทศในแถบอาเซียน
ติดต่อศูนย์พัฒนาอุตสาหกรรมเซรามิก กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โทร. 0-5428-4316, 0-5428-4318, 0-5428-4393หรือที่ www.lampangceramiccenter.com
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า “SME ผู้จัดการออนไลน์” รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมาย คลิกที่นี่เลย!! * * *