“ทุกอย่างเกี่ยวกับงานกุญแจ ไม่ว่าจะเป็นกุญแจบ้าน รถ ตู้เซฟ ตู้เอกสาร ฯลฯ เราบริการได้หมด” คำพูดดังกล่าวเป็นของ “คมเดช อุดมยิ่งเจริญ” เจ้าของธุรกิจ "คีย์เวิลด์" (Key World) และ “บิ๊ก คีย์” (Big Key) บ่งบอกจุดเด่นเชี่ยวชาญในงานบริการเกี่ยวกับกุญแจรอบด้าน นับถึงปัจจุบันถือเป็นธุรกิจแฟรนไชส์ให้บริการงานกุญแจครบวงจรรายเดียวในเมืองไทย สามารถขยายสาขาอย่างรวดเร็ว และกว้างขวาง ในระยะ 3 ปีรวม 58 แห่งทั่วประเทศ โดยกุญแจที่ช่วยไขไปสู่ความสำเร็จ เกิดจากความเชี่ยวชาญในวงการซ่อมกุญแจที่สะสมมายาวนาน ควบคู่ปรับตัวนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาต่อยอดธุรกิจเดิมอย่างสม่ำเสมอ
สุดยอดช่างกุญแจต่อยอดธุรกิจขายแฟรนไชส์
จากประสบการณ์เป็นช่างทำกุญแจมายาวนาน เริ่มฝึกหัดตั้งแต่อายุ 10 ขวบ “คมเดช อุดมยิ่งเจริญ” ค่อยๆ สะสมฝีมือวิชาความรู้ และยึดอาชีพช่างกุญแจ จนในวงการยอมรับว่าเก่งที่สุดอันดับต้นๆ ของประเทศไทย
หลังเปิดแบรนด์“Key World” ของตัวเองตั้งแต่ ปีพ.ศ.2541 จนเมื่อประมาณพ.ศ.2545 เริ่มมองหาทางขยายธุรกิจ โดยเข้าอบรมหลักสูตรพัฒนาธุรกิจแฟรนไชส์ จากกระทรวงพาณิชย์ จนได้ไอเดียจะขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ธุรกิจเติบโตมีเครือข่ายกว้างขวางแล้ว อีกด้านหนึ่งยังเป็นการเผยแพร่ความรู้และสร้างอาชีพให้แก่ผู้อื่นด้วย
เปิด 2 ทางเลือกในการลงทุนแฟรนไชส์
คมเดช ระบุว่าใช้เวลาปรับแต่ง และวางรูปแบบการลงทุนแฟรนไชส์ให้เหมาะสมอยู่นานหลายปี จนมาลงตัวที่ 2 รูปแบบในปัจจุบัน ได้แก่
รูปแบบแรก คือ Big Key เป็นแบรนด์ที่เน้นกิจการขนาดเล็ก เงินลงทุน 80,000-150,000 บาท ได้รับอุปกรณ์ และการฝึกอบรม โดยเป็นร้านขนาดเล็กใช้พื้นที่ทำงานหรือตั้งร้าน 4-24 ตารางเมตร ใช้คนทำงานเพียง 1-2 คน เน้นงานบริการที่รวดเร็ว มีบริการพื้นฐาน ในการปั๊มกุญแจทุกประเภท ทั้งกุญแจรถยนต์ กุญแจบ้าน กุญแจหัก และกุญแจที่ฟันสึก และที่สำคัญ เน้นบริการนอกสถานที่กรณีเหตุฉุกเฉิน เช่น ช่วยเปิดประตูบ้าน เปิดประตูรถยนต์ กรณีทำกุญแจหล่นหาย
เจ้าของธุรกิจ เสริมว่า แฟรนไชส์ Big Key เริ่มเปิดตัวอย่างจริงจัง เมื่อพ.ศ. 2553 นับถึงปัจจุบันมีสาขา 58 แห่งทั่วประเทศ โดยรูปแบบลงทุนจะมีความยืดหยุ่นสูง สามารถนำไปร่วมกับธุรกิจอื่นๆ ได้ เช่น ร้านไปรษณีย์ ร้านซ่อมรองเท้า เป็นต้น โดยผู้ซื้อแฟรนไชส์กว่า 90% จะเป็นผู้มีความรู้ด้านงานกุญแจอยู่แล้ว แต่ต้องการแฟรนไชส์ Big Key ไปเสริมกับธุรกิจเดิม โดยเฉลี่ยผู้ลงทุนจะมีกำไรสุทธิประมาณ 30% ต่อหน่วย รายได้เฉลี่ยประมาณ 1,500-2,000 บาทต่อวัน อัตราเฉลี่ยคืนเงินลงทุน ประมาณ 3 เดือน
รูปแบบต่อมา คือ Key World แบรนด์นี้เป็นศูนย์บริการงานเกี่ยวกับกุญแจโดยเฉพาะครบวงจร ใช้งบในการลงทุน 1,500,000-5,000,000 บาท ผู้ลงทุนได้รับอุปกรณ์ ฝึกอบรม การวางระบบ การตกแต่งร้าน รวมถึงแนะนำทำเลที่ตั้ง โดยใช้พื้นที่ในการทำงาน 80-100 ตารางเมตร พนักงานประจำร้าน 4-8 คน โดยแบรนด์ Key World ไม่เน้นบริการฉุกเฉิน แต่จะเน้นบริการงานกุญแจที่หาไม่ได้ตามร้านกุญแจทั่วๆ ไป รวมถึง งานที่ช่างกุญแจธรรมดาๆ มีข้อจำกัด ไม่สามารถให้บริการได้
คมเดช อธิบายเสริมว่า งานบริการที่หาไม่ได้ตามร้านกุญแจทั่วไปดังที่กล่าวข้างต้น คือ ระบบกุญแจสมัยใหม่ใช้เทคโนโลยีระดับสูง โดยเฉพาะกุญแจฝังชิพระบบไฟฟ้า หรือที่เรียกว่า อีโมบิไลเซอร์ (Immobilizer) รวมถึง เทคโนโลยีด้านระบบกุญแจ อันทันสมัยและระบบกันขโมย กุญแจอัจฉริยะต่างๆเช่น Smart key ,Push start เป็นต้น นอกจากนั้น ศูนย์บริการ Key World ยังมาช่วยตอบความต้องการของลูกค้า ที่เดิมหากเกิดปัญหาเกี่ยวกับระบบกุญแจสมัยใหม่ โดยเฉพาะรถยนต์ ต้องนำเข้าศูนย์รถยนต์เท่านั้น ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง เฉลี่ยที่ครั้งละกว่า 50,000 บาท และเสียเวลานานนับสัปดาห์ หรือเป็นเดือน
สำหรับรายได้ของแฟรนไชส์ Key World จะมาจากบริการพื้นฐานต่างๆ เช่น ปั๊มกุญแจ จำหน่ายกุญแจบ้าน กุญแจรถ เปิดตู้เซฟ จำหน่ายกุญแจกันขโมย ทำคีย์การ์ด ติดตั้งสัญญาณกันขโมยตามบ้าน ร้านค้า และสำนักงานต่างๆ เป็นต้น มีกำไรสุทธิประมาณ 30% และที่สำคัญ ยังมีรายได้จากงานบริการกุญแจสมัยใหม่ เช่น รับทำกุญแจฝังชิพระบบไฟฟ้า เริ่มต้นที่ 4,000 บาท รายได้เฉลี่ยต่อวัน ประมาณ 15,000-20,000 บาท อัตราการคืนเงินลงทุนประมาณ 1 ปี
นอกจากนั้น ยังมีรับเปิดสอนอาชีพสำหรับบุคคลทั่วไปที่อยากจะเข้าทำอาชีพช่างกุญแจ รวมถึง ให้สิทธิเป็นตัวแทนขายอุปกรณ์ด้วย คิดค่าอบรม 30,000 บาท
“ฝีมือ” บวก“อุปกรณ์ทันสมัย” กุญแจไขสู่ความสำเร็จ
คมเดช อธิบายต่อว่า ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในอาชีพทำกุญแจนั้น มาจาก 2 ด้านสำคัญ คือ ประการแรก “ฝีมือของช่าง” ซึ่งระบบของ “Key World” และ “Big Key” จะมีอบรมให้ก่อนเปิดร้าน สามารถทำงานได้มาตรฐาน อีกด้าน คือ “อุปกรณ์ที่ทันสมัย” ขณะนี้ได้ร่วมมือกับบริษัท ซิลก้า ประเทศอิตาลี และบริษัท มินดา ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ทำเครื่องมือกุญแจระดับโลก
จุดเด่นของ ซิลก้านั้น เป็นผู้พัฒนาด้านซอฟแวร์ และฮาร์ดแวร์ กุญแจฝังชิพ Immobilizer โดยมีโรงงานผลิตในประเทศต่างๆ เช่น อินโดนีเซีย อินเดีย เวียดนาม เป็นต้น ทำให้ต้นทุนของสินค้ามีราคาถูกลง และกระจายไปในประเทศต่างๆได้ ขณะที่ บริษัท มินดา เป็นผู้ผลิตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ผลิตสินค้าหลากหลาย ทั้งด้านฮาร์ดแวร์ และเครื่องมือช่างอุตสาหกรรมต่างๆ
โดยทั้งสองบริษัท ได้ให้ทาง Key World เป็นตัวแทนขายอุปกรณ์เครื่องทำกุญแจในประเทศไทย ซึ่งจะนำมาใช้กับแฟรนไชส์ของ “Key World” และ “Big Key” โดยอุปกรณ์ที่นำมาใช้ ได้แก่
1.Duo Plus เป็นเครื่องที่พัฒนาขึ้นมาเหมาะกับตลาดกุญแจย่านเอเชียโดยเฉพาะ มีความทนทานในการใช้งาน เหมาะสำหรับร้านกุญแจ อู่รถยนต์ โรงแรม รีสอร์ต และสำนักงาน ที่ต้องการเครื่องปั๊มกุญแจจำนวนมาก
2.Easy เป็นเครื่องทำกุญแจที่ออกแบบมาให้ใช้งานง่าย จุดเด่นที่เป็นเครื่องที่มีความเที่ยงตรงสูงในการทำร่องหรือที่เรียกว่า ไกด์ ช่วยให้ช่างกุญแจทำงานง่ายขึ้น สามารถทำกุญแจให้ตรงตามต้นแบบสูง
และ 3.Fast Coppy เป็นเครื่องทำกุญแจฝังชิพ (Immobilizer) มีความสามารถสูง ทำงานได้เร็ว ใช้เวลาเพียง 5 นาทีเท่านั้น ก็สามารถผลิตกุญแจฝังชิพได้ เหมาะสำหรับช่างกุญแจที่ต้องการขยายบริการรับทำกุญแจประเภทฝังชิพ
“ในความเป็นจริงแล้ว ทุกวันนี้ ช่างทำกุญแจในเมืองไทย ฝีมือค่อนข้างใกล้เคียงกัน แต่สิ่งที่จะทำให้เกิดความแตกต่างของการให้บริการแต่ละแห่ง คือ ความพร้อมของอุปกรณ์ ซึ่งบริษัท ซิลก้า และบริษัท มินดา เป็นยักษ์ใหญ่ในวงการ เก่งทั้งด้านอิเล็กทรอนิกส์ และแมคคานิค ซึ่งอุปกรณ์ที่เราได้ร่วมมือกับ 2 บริษัทนั้น ถูกออกแบบให้เหมาะกับอุปกรณ์กุญแจของประเทศแถบเอเชีย รวมถึง ยังเป็นเทคโนโลยีที่ออกแบบรองรับการพัฒนาของเทคโนโลยีสมัยใหม่ไปอีก 10 ปีข้างหน้า” คมเดช กล่าว
ยกจุดขายบริการรวดเร็ว และราคาถูก
สำหรับระบบบริหารแฟรนไชส์นั้น หลักสำคัญจะใช้วิธีฝึกอบรมก่อนเปิดร้านให้มีมาตรฐานและวิธีการทำงานเดียวกัน และกำหนดว่า สาขาแฟรนไชส์ต้องสั่งซื้ออุปกรณ์ต่างๆ เช่น ลูกกุญแจสำเร็จรูป และเครื่องจักรต่างๆ จากแฟรนไชส์ซอร์ รวมถึง ห้ามขายอุปกรณ์ต่อ ห้ามขยายสาขา และห้ามเปิดเผยความรู้ หากไม่ได้ความยินยอมจากแฟรนไชส์ซอร์ นอกจากนั้น เปิดระบบ Call Center รับข้อร้องเรียนจากลูกค้า เพื่อตรวจสอบคุณภาพแฟรนไชส์อีกทางหนึ่งด้วย
ขณะเดียวกัน วางระบบป้องกันมิจฉาชีพที่จะนำความรู้ และอุปกรณ์ไปใช้ในทางมิชอบ เช่น กำหนดก่อนที่ให้บริการเปิดประตูบ้านหรือรถยนต์ จะมีขอดูเอกสารยืนยันสิทธิ์ก่อน รวมถึง พฤติกรรมแท้จริงของเหล่ามิจฉาชีพ จะไม่นิยมใช้อุปกรณ์เหล่านี้ไปก่อเหตุ เพราะราคาแพง ใช้เวลาทำนาน และต้องทำอย่างเปิดเผย ส่วนใหญ่คนร้ายจึงเลือกใช้วิธีทำลาย เช่น เกะ งัด หรือทุบกระจกมากกว่า
เซียนกุญแจ อธิบายว่า จุดเด่นของบริการ“Big Key” และ “Key World” คือ สามารถตอบความต้องการของลูกค้าเกี่ยวกับงานกุญแจและระบบล็อคได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกุญแจบ้าน รถ ตู้เซฟ ตู้เอกสาร ฯลฯ ในราคาที่ไม่แตกต่างจากร้านกุญแจทั่วไป เริ่มต้นที่ปั๊มกุญแจ ดอกละ 35 บาท ขณะเดียวกัน ยังสามารถให้บริการได้รวดเร็ว เช่น ระบบกุญแจฝังชิพระบบไฟฟ้าของรถยนต์ หากนำเข้าอู่ใช้เวลาเป็นสัปดาห์ แต่ Key World บริการเสร็จในเวลา 2 ชั่วโมง และค่าบริการก็ถูกกว่าเข้าอู่ 4-5 เท่าตัว
เขา เล่าต่อว่า การขยายสาขาที่ผ่านมา 58 แห่ง มีอัตราล้มเหลว ไม่ถึง 10% ซึ่งสาเหตุทั้งหมด เกิดจากความไม่พร้อมของตัวผู้ลงทุนเอง โดยเฉลี่ยที่ผ่านมา แฟรนไชส์ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 30% และมีอัตราคืนทุนเฉลี่ยที่ 3 เดือน - 1 ปี ขึ้นอยู่กับเงินลงทุน
สำหรับผลประกอบการเมื่อปีที่แล้ว (2555) ของบริษัท อยู่ที่แปดหลัก และคาดกว่าปีนี้จะเติบโตอีก 15% โดยเป้าในการขยายสาขาของทั้งสองแบรนด์นั้น วางไว้ชัดเจน โดยแบรนด์ “Big Key” จะขยายปีละ 20 สาขา กำหนดเป้าระยะยาวให้มีอำเภอละ 1 สาขาทั่วประเทศ ส่วนแบรนด์ “Key World” มุ่งเปิดเฉพาะตามหัวเมืองใหญ่ๆ เช่น หัวหิน เชียงใหม่ พัทยา เป็นต้น วางเป้าให้มี 7 สาขาในประเทศ หลังจากนั้น ในปี พ.ศ.2558 จะขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศ เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม และลาว เป็นต้น
“เมื่อประมาณปี 2545 ช่างกุญแจ มีประมาณ 5,000 คน ต่อคนไทย 60 ล้านคน ซึ่งถือว่ายังน้อยอยู่ จนถึงขณะนี้ปี 2556 ช่างกุญแจก็ขยายไปแค่ 6,500 คน ก็ถือว่าจำนวนช่างเพิ่มมากขึ้น แต่เทคโนโลยีเรื่องกุญแจมีความก้าวหน้ามากขึ้นตลอดเวลา โดยเฉพาะกุญแจฝังชิพ ทำให้ผมเคยกังวลว่า อาจถึงทางตันของอาชีพช่างกุญแจ แต่หลังจากที่เราปรับตัว เสาะหาเทคโนโลยี และเครื่องจักรมารองรับการทำระบบกุญแจสมัยใหม่ได้ จึงกลายเป็นโอกาสที่วงการช่างกุญแจจะขยายตลาดได้กว้างขึ้น เพราะลูกค้าจะมีทางเลือก สามารถหาแหล่งทำกุญแจสมัยใหม่ที่ราคาลดลง ไม่ต้องเข้าศูนย์ ที่คิดค่าบริการแพงและเสียเวลานานๆ ได้” คมเดช เสริมในตอนท้าย
ตารางลงทุนแฟรนไชส์ |
รูปแบบ Big Key ร้านขนาดเล็ก |
เน้นบริการงานกุญแจทั่วไป และบริการนอกสถานที่เปิดกุญแจกรณีเหตุฉุกเฉิน เงินลงทุน 80,000-150,000 บาท ใช้พื้นที่ทำงานหรือตั้งร้าน 4-24 ตารางเมตร คนทำงาน 1-2 คน กำไรสุทธิประมาณ 30% ต่อหน่วย รายได้เฉลี่ยประมาณ 1,500-2,000 บาทต่อวัน อัตราเฉลี่ยคืนเงินลงทุน ประมาณ 3 เดือน |
รูปแบบ Key World เป็นศูนย์กุญแจครบวงจร |
เน้นบริการงานกุญแจทั่วไป และบริการงานกุญแจสมัยใหม่ เงินลงทุน 1,500,000-5,000,000 บาท ใช้พื้นที่ทำงานหรือตั้งร้าน 80-100 ตารางเมตร คนทำงาน 4-8 คน กำไรสุทธิประมาณ 30% ต่อหน่วย รายได้เฉลี่ยประมาณ 15,000-20,000 บาทต่อวัน อัตราเฉลี่ยคืนเงินลงทุน ประมาณ 12 เดือน |
สนใจธุรกิจแฟรนไชส์ โทร.08-9890-9548 หรือ www.thaikeyworld.com |
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *