รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลังเผย การประชุมร่วม ก.แรงงานและสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยถึงมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอีต่อการปรับขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวัน มีความชัดเจน 15 มาตรการ และ 11 มาตรการเป็นเรื่องการต่ออายุ เช่น เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ รัฐรับไปพิจารณา และเปิดรับข้อเสนอใหม่ 4 มาตรการ ส่วนรอการพิจารณาจากภาครัฐ 8 มาตรการ
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เปิดเผยภายหลังการประชุม ร่วมกับกระทรวงแรงงาน และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ถึงมาตรการบรรเทาผลกระทบเพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้ประกอบการจากการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ว่าขณะนี้มีความชัดเจนแล้ว 15 มาตรการ โดยใน 11 มาตรการเป็นเรื่องการต่ออายุและขยายอายุต่างๆ ต่อไปอีก 1 ปี อาทิ การขยายเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งรัฐรับไปพิจารณาดำเนินการ นอกจากนี้ ภาครัฐยังเปิดรับข้อเสนออีก 4 มาตรการ ได้แก่ 1. มาตรการลดค่าธรรมเนียมต่างๆ อาทิ ค่าธรรมเนียมห้องพักโรงแรม โดยให้กระทรวงมหาดไทยไปพิจารณา 2. การเปิดคลินิกพัฒนาฝีมือแรงงาน ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงแรงงานไปเปิดจัดหลักสูตรอบรมที่ตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการมากขึ้น
3. มาตรการลดอัตราค่าเช่าสถานที่จัดประชุมต่างๆ ในพื้นที่ของราชการ และ 4. ให้คงมาตรการสินค้าราคาถูกและดูแลราคาสินค้าให้มีเสถียรภาพ ไม่ฉวยโอกาสขึ้นราคา ซึ่งได้มอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์ไปรีบดำเนินการ อย่างไรก็ตาม เห็นว่ามาตรการดังกล่าวสามารถดำเนินการได้เนื่องจากไม่ต้องแก้กฎหมายหรือของบประมาณเพิ่มเติมแต่อย่างใด
นายกิตติรัตน์กล่าวว่า ส่วนที่รัฐรับไปพิจารณาและยังไม่สามารถตอบได้ว่าจะอนุมัติหรือไม่มีทั้งสิ้น 8 มาตรการ เนื่องจากต้องขออนุมัติจาก ครม.ก่อน เช่น การชดเชยอัตราค่าแรงที่เพิ่มขึ้นให้กับเอสเอ็มอีที่มีลูกจ้างไม่เกิน 200 คน, การขอลดภาษีที่หัก ณ ที่จ่าย 3% เป็นต้น ส่วนมาตรการที่ตัดทิ้ง ได้แก่ การขอออกบัตรลดราคาสินค้าให้แก่ลูกจ้าง, การขอลดภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ให้เอสเอ็มอี ซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยากและทำไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าจะนำเสนอเข้าที่ประชุม ครม.พิจารณามาตรการที่ค้างอยู่ทั้งหมดให้เสร็จก่อนวันที่ 1 ม.ค. 2555 ที่จะมีผลบังคับใช้เรื่องอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันต่อไป
