จากเด็กสาวที่ชอบรับประทานพิซซาแบบไม่กลัวอ้วน ดังนั้นเมื่อไฟเขียวจากคุณพ่อที่เป็นนักธุรกิจมาหลายสิบปีเปิดประตูให้เป็นเจ้าของธุรกิจบ้าง ร้าน “Piztaburg” จึงเกิดขึ้น ที่ควบรวม 3 เมนูไว้ด้วยกัน คือ พิซซา, พาสตา และแฮมเบอร์เกอร์ อาหารกินเล่นที่คัดสรรวัตถุดิบเกรดเอเทียบชั้นภัตตาคาร 5 ดาว
แม้น้องถิง หรือ “เสาวลักษณ์ อเนกวิโรจน์” จะเรียนจบจากรั้วจุฬาฯ ด้านวิศวกรรมศาสตร์ มาหมาดๆ แต่ก็ไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร ด้วยเพราะเกิดมาในครอบครัวนักธุรกิจที่เห็นงานด้านการบริหารมาตลอดจากคุณพ่อที่ทำธุรกิจมาหลายด้าน ทั้งโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และธุรกิจด้านอาหารมีพนักงานในร้านเพียง 2-3 คนก็ทำมาแล้ว ดังนั้นด้วยความที่เป็นผู้หญิง หากจะทำงานให้ตรงตามที่เรียนมาอาจจะเป็นความยากอยู่สักหน่อย จากแหล่งงานส่วนใหญ่อยู่ต่างจังหวัด จึงขอพักความฝันในวัยเยาว์กับอาชีพวิศวกรไว้ก่อน เลือกเดินอีกหนึ่งทางฝันกับการเปิดร้านอาหารเล็กๆ ที่ตนเองชื่นชอบไม่แพ้กัน จากที่คุณพ่อไฟเขียวให้ลูกสาวเข้าสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจเต็มตัวกับร้าน “Piztaburg”
“ร้านนี้เกิดมาจากที่ถิงชอบรับประทานพิซซา และพาสตาเป็นอย่างมาก มักจะชวนคุณพ่อไปชิมตามสถานที่ต่างๆ ตั้งแต่โรงแรม ร้านอาหาร แบรนด์นำเข้าจากต่างประเทศ หรือพิซซาแบบโฮมเมด ซึ่งก็ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์มานานหลายปี ด้วยความฝันว่าหากสักวันหนึ่งถิงได้มีร้านพิซซาเป็นของตัวเองจะนำข้อดีข้อเสียที่เราบันทึกไว้มาปรับเพื่อให้ถูกใจลูกค้ามากที่สุด รวมถึงโดยส่วนตัวมองว่าในปีๆ หนึ่งคนไทยต้องเสียรายได้ให้แก่ค่าลิขสิทธิ์แฟรนไชส์พิซซาต่างชาติเป็นเงินมหาศาล ดังนั้นถ้าคนไทยสามารถทำเองได้และกลับไปขยายตลาดต่างประเทศบ้างก็น่าจะเป็นเรื่องดี”
ส่งผลให้ร้าน Pistaburg สาขาแรกที่ห้างเซ็นทรัล รัตนาธิเบศร์ ชั้น 1 ติดกับท็อปส์ซูเปอร์มาร์เก็ต เกิดขึ้น ภายใต้การบริหารของน้องถิง เน้นการตกแต่งร้านและโลโก้ให้ดูทันสมัยเป็นสากลเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งเป็นร้านโทนสีแดงและสีเหลืองเข้าด้วยกันเพื่อความสะดุดตา ในขณะที่เมนูในร้านแบ่งเป็น 3 ประเภทตามชื่อร้าน คือ พิซซา พาสตา และแฮมเบอร์เกอร์ ชูราคาสบายกระเป๋าที่ลูกค้าทุกคนเข้าถึงได้
จุดเด่นของพิซซาคือ ผลิตจากแป้งหนานุ่ม กรอบนอกนุ่มใน ท็อปปิ้ง ประกอบด้วยกุ้งลายเสือ หอยแมลงภู่นิวซีแลนด์ กับปลาหมึกตัวโต รสชาติสไตล์อเมริกันขนานแท้ และอาจกล่าวได้ว่าเป็นพิซซาแห่งแรกของไทยที่มีท็อปปิ้งแซลมอนจากนิวซีแลนด์ เพิ่มความสดและคุณค่าของอาหารได้อย่างลงตัว ส่วนประเภทพาสตา จะเป็นสปาเกตตีสไตล์อิตาเลียน ใช้เส้นที่หนานุ่ม แต่ปรุงในสไตล์ไทยแท้เพิ่มคุณค่าด้วยอาหารทะเลสดตัวใหญ่ไม่เหมือนใคร
ในขณะที่แฮมเบอร์เกอร์ใช้ระบบการนึ่งที่พิเศษสุด คือสไตล์ไรซ์เบอร์เกอร์ นึ่งด้วยไอน้ำปราศจากไขมันโดยสิ้นเชิง มีทั้งสเต๊กแซลมอน และหมูชาบูแห่งแรกของไทย ผสมกับผักคอส คือผักชั้นสูงที่ใช้กับสลัดอิตาลี จึงจัดเป็นแฮมเบอร์เกอร์เชิงสุขภาพอย่างแท้จริง
“ดูจากภายนอกแล้วหลายคนจะคิดว่าอาหารในร้าน Pistaburg จะแพง แต่ผิดคาด เพราะถิงสามารถควบคุมราคาให้ไม่แพงจนเกินไปทั้งที่ใช้วัตถุดิบอย่างดี โดยราคาพิซซาเริ่มต้นที่ชิ้นละ 59-79 บาท ครึ่งถาด 155-210 บาท และราคา เต็มถาด 295-395 บาท โดยลูกค้าสามารถเลือก 2 รสชาติในถาดเดียวกันได้ หน้าพิซซาที่ขายดี คือ ซีฟูด และฮาวายเอี้ยน รวมถึงยังมีหน้ารสชาติไทย อย่างปูผัดผงกะหรี่ ส่วนประเภทพาสตา 79-89 บาท และแฮมเบอร์เกอร์ เริ่มต้นที่ 59-79 บาท เท่านั้น ซึ่งราคาถือว่าไม่สูงมากนักหากเทียบกับคุณภาพที่ลูกค้าได้รับ เพราะถิงมองว่าหากราคาสูงจะทำให้ลูกค้ารับประทานไม่ได้บ่อยนัก”
ส่วนแผนธุรกิจในอนาคตจะเพิ่มรูปแบบดีลิเวอรีในบริเวณใกล้เคียง และสำหรับการขยายแฟรนไชส์ ขณะนี้ยังไม่มีโครงการ ขอขยายสาขาด้วยตัวเองก่อนเพราะเกรงว่าจะไม่สามารถควบคุมคุณภาพได้
***สนใจติดต่อ 08-2335-5099 หรือที่ Facebook : Piztaburg***
