“เอสเอ็มอีแบงก์” ดันลูกค้าขยายตลาดผ่านสื่อออนไลน์ รับมือแนวโน้มครึ่งปีหลังการแข่งขันส่อแววดุเดือด เดินหน้าจัดเวิร์กชอปความรู้ด้านการตลาดผ่านออนไลน์ทั้งส่วนกลางและภูมิภาค พร้อมเปิดหน้า www.facebook.com/สังคมออนไลน์ by SME Bank ดึงลูกค้าธนาคารทุกรายเข้ามาเป็นชุมชนเดียวกัน หวังเป็นศูนย์กลางซื้อขาย แลกเปลี่ยนความรู้ และเชื่อมโยงธุรกิจเข้าไว้ด้วยกัน
นายสุรชัย กำพลานนท์วัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีนี้ (2555) ทิศทางการดำเนินธุรกิจมีแนวโน้มแข่งขันสูงอย่างยิ่ง เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น วิกฤตเศรษฐกิจในยุโรป กระทบภาคส่งออกของไทยทำให้คำสั่งซื้อลดน้อยลง ซึ่งปัจจุบันออเดอร์ในหมวดสิ่งทอ และอิเล็กทรอนิกส์ของไทยลดไปแล้วกว่า 20% อีกทั้งกำลังซื้อ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเมืองไทยลดน้อยลงด้วย กระทบภาคบริการ และการท่องเที่ยวของไทย นอกจากนั้น ต้นทุนพลังงานยังมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก เช่นเดียวกับทิศทางดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นเช่นกัน ทั้งหมดล้วนทำให้ครึ่งปีหลังนี้การแข่งขันของเอสเอ็มอีไทยจะรุนแรง และยากลำบากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ธนาคารพยายามหาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเฉพาะรายที่เป็นลูกค้าของธนาคาร ซึ่งนอกจากด้านสินเชื่อต่างๆ แล้ว ทางธนาคารเน้นพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการเพื่อปรับตัวรับการแข่งขันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องการให้ผู้ประกอบการได้ใช้ประโยชน์จากสื่อออนไลน์ ซึ่งเป็นการตลาดที่ต้นทุนต่ำมาก มีศักยภาพสูงช่วยขยายหาตลาดใหม่ ดังนั้นธนาคารได้จัดโครงการเวิร์กชอปความรู้ด้านการตลาดผ่านออนไลน์ โดยพาวิทยากรผู้เชี่ยวชาญไปอบรมให้ความรู้แก่ลูกค้าธนาคารทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งได้เริ่มแล้วในพื้นที่กรุงเทพฯ และส่วนภูมิภาค ประเดิมแห่งแรกที่ จ.นครสวรรค์ หลังจากนี้จะขยายโครงการดังกล่าวไปยังภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคอีสาน ตามลำดับ
“ปัจจุบันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีส่วนใหญ่เริ่มตื่นตัวใช้สื่อออนไลน์มาช่วยขยายตลาดเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะในภาคผลิต และโอทอปยังใช้สื่อออนไลน์ไม่มากนัก เพราะบางกิจการการซื้อขายผ่านออนไลน์อาจจะไม่ตรงความต้องการเสียทีเดียว หรือไม่มีความรู้ในการตลาดออนไลน์มากนัก ดังนั้น เอสเอ็มอีแบงก์จึงจัดโครงการเวิร์กชอป ซึ่งหวังว่าจะช่วยให้ลูกค้าของเราที่เข้าโครงการได้นำความรู้ไปประยุกต์เพื่อต่อยอดธุรกิจของตัวเอง” นายสุรชัยกล่าว
นอกเหนือจากโครงการเวิร์กชอปความรู้ทางสื่อออนไลน์ดังกล่าวแล้ว ทางธนาคารได้จัดทำสังคมออนไลน์ของบรรดาลูกค้าเอสเอ็มอีแบงก์ผ่านทางเว็บไซต์ www.facebook.com/สังคมออนไลน์ by SME Bank ซึ่งในหน้า facebook นี้จะพยายามรวบรวมลูกค้าของธนาคาร ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมดกว่า 70,000 รายให้เข้ามาอยู่เป็นชุมชนเดียวกันมากที่สุด ซึ่งผู้ประกอบการแต่ละรายสามารถจะเข้ามาโพสต์แนะนำหรือประชาสัมพันธ์สินค้าหรือบริการของตัวเองเพื่อจะเป็นช่องทางขายสินค้าระหว่างผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าของเอสเอ็มอีแบงก์ด้วยกันเอง หรือบุคคลภายนอกที่สนใจเข้ามาเยี่ยมชมซื้อสินค้า นอกจากนั้นยังสามารถเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ หรือหาพันธมิตรธุรกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างกัน
นายสุรชัยระบุด้วยว่า อยากให้หน้าเว็บไซต์ www.facebook.com/สังคมออนไลน์ by SME Bank เป็นเสมือนศูนย์กลางที่ลูกค้าของเอสเอ็มอีแบงก์จะเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ครบวงจร ทั้งขยายตลาด และหาเครือข่ายธุรกิจ ฯลฯ นอกจากนั้น ทางธนาคารจะต่อยอดโครงการดังกล่าวด้วยการนำลูกค้าของเอสเอ็มอีแบงก์ที่เป็นสมาชิกในหน้า facebook ดังกล่าวให้เกิดการจับคู่ธุรกิจระหว่างกัน เช่น จัดกิจกรรมพาลูกค้ากลุ่มประกอบธุรกิจร้านอาหาร ภัตตาคาร ไปพบเพื่อจับคู่ธุรกิจกับลูกค้ากลุ่มผลิตเครื่องใช้ในครัวเรือน เป็นต้น
นายสุรชัย กำพลานนท์วัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีนี้ (2555) ทิศทางการดำเนินธุรกิจมีแนวโน้มแข่งขันสูงอย่างยิ่ง เนื่องจากหลายปัจจัย เช่น วิกฤตเศรษฐกิจในยุโรป กระทบภาคส่งออกของไทยทำให้คำสั่งซื้อลดน้อยลง ซึ่งปัจจุบันออเดอร์ในหมวดสิ่งทอ และอิเล็กทรอนิกส์ของไทยลดไปแล้วกว่า 20% อีกทั้งกำลังซื้อ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาเมืองไทยลดน้อยลงด้วย กระทบภาคบริการ และการท่องเที่ยวของไทย นอกจากนั้น ต้นทุนพลังงานยังมีแนวโน้มสูงขึ้นอีก เช่นเดียวกับทิศทางดอกเบี้ยอยู่ในช่วงขาขึ้นเช่นกัน ทั้งหมดล้วนทำให้ครึ่งปีหลังนี้การแข่งขันของเอสเอ็มอีไทยจะรุนแรง และยากลำบากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ ธนาคารพยายามหาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอี โดยเฉพาะรายที่เป็นลูกค้าของธนาคาร ซึ่งนอกจากด้านสินเชื่อต่างๆ แล้ว ทางธนาคารเน้นพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการเพื่อปรับตัวรับการแข่งขันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องการให้ผู้ประกอบการได้ใช้ประโยชน์จากสื่อออนไลน์ ซึ่งเป็นการตลาดที่ต้นทุนต่ำมาก มีศักยภาพสูงช่วยขยายหาตลาดใหม่ ดังนั้นธนาคารได้จัดโครงการเวิร์กชอปความรู้ด้านการตลาดผ่านออนไลน์ โดยพาวิทยากรผู้เชี่ยวชาญไปอบรมให้ความรู้แก่ลูกค้าธนาคารทั้งในส่วนกลางและภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งได้เริ่มแล้วในพื้นที่กรุงเทพฯ และส่วนภูมิภาค ประเดิมแห่งแรกที่ จ.นครสวรรค์ หลังจากนี้จะขยายโครงการดังกล่าวไปยังภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคอีสาน ตามลำดับ
“ปัจจุบันผู้ประกอบการเอสเอ็มอีส่วนใหญ่เริ่มตื่นตัวใช้สื่อออนไลน์มาช่วยขยายตลาดเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในส่วนภูมิภาค โดยเฉพาะในภาคผลิต และโอทอปยังใช้สื่อออนไลน์ไม่มากนัก เพราะบางกิจการการซื้อขายผ่านออนไลน์อาจจะไม่ตรงความต้องการเสียทีเดียว หรือไม่มีความรู้ในการตลาดออนไลน์มากนัก ดังนั้น เอสเอ็มอีแบงก์จึงจัดโครงการเวิร์กชอป ซึ่งหวังว่าจะช่วยให้ลูกค้าของเราที่เข้าโครงการได้นำความรู้ไปประยุกต์เพื่อต่อยอดธุรกิจของตัวเอง” นายสุรชัยกล่าว
นอกเหนือจากโครงการเวิร์กชอปความรู้ทางสื่อออนไลน์ดังกล่าวแล้ว ทางธนาคารได้จัดทำสังคมออนไลน์ของบรรดาลูกค้าเอสเอ็มอีแบงก์ผ่านทางเว็บไซต์ www.facebook.com/สังคมออนไลน์ by SME Bank ซึ่งในหน้า facebook นี้จะพยายามรวบรวมลูกค้าของธนาคาร ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมดกว่า 70,000 รายให้เข้ามาอยู่เป็นชุมชนเดียวกันมากที่สุด ซึ่งผู้ประกอบการแต่ละรายสามารถจะเข้ามาโพสต์แนะนำหรือประชาสัมพันธ์สินค้าหรือบริการของตัวเองเพื่อจะเป็นช่องทางขายสินค้าระหว่างผู้ประกอบการที่เป็นลูกค้าของเอสเอ็มอีแบงก์ด้วยกันเอง หรือบุคคลภายนอกที่สนใจเข้ามาเยี่ยมชมซื้อสินค้า นอกจากนั้นยังสามารถเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ หรือหาพันธมิตรธุรกิจ ซึ่งจะทำให้เกิดการเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างกัน
นายสุรชัยระบุด้วยว่า อยากให้หน้าเว็บไซต์ www.facebook.com/สังคมออนไลน์ by SME Bank เป็นเสมือนศูนย์กลางที่ลูกค้าของเอสเอ็มอีแบงก์จะเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ครบวงจร ทั้งขยายตลาด และหาเครือข่ายธุรกิจ ฯลฯ นอกจากนั้น ทางธนาคารจะต่อยอดโครงการดังกล่าวด้วยการนำลูกค้าของเอสเอ็มอีแบงก์ที่เป็นสมาชิกในหน้า facebook ดังกล่าวให้เกิดการจับคู่ธุรกิจระหว่างกัน เช่น จัดกิจกรรมพาลูกค้ากลุ่มประกอบธุรกิจร้านอาหาร ภัตตาคาร ไปพบเพื่อจับคู่ธุรกิจกับลูกค้ากลุ่มผลิตเครื่องใช้ในครัวเรือน เป็นต้น