“ตัน ภาสกรนที” นักธุรกิจรวยสีสัน ผู้สร้างตำนานเครื่องดื่มชาเขียวจนติดลมบนในเมืองไทย นับเป็นอีกหนึ่งผู้ประกอบการที่ประสบภัยน้ำท่วมเมื่อปลายที่ผ่านมา เพราะโรงงานผลิตชาเขียว “อิชิตัน” มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา ต้องจมบาดาลเสียหายอย่างหนัก
แม้จะสูญเสียทรัพย์สินไปจำนวนมาก ทว่า ในมุมมองของชายคนนี้ กลับเชื่อว่า ท่ามกลางปัญหาที่เกิดขึ้น ยังพบว่า มีด้านบวกเช่นกัน ซึ่งไม่นานมานี่ เจ้าของตำนานชาเขียว ได้ขึ้นเวทีบอกเล่าประสบการณ์น้ำท่วมโรงงาน ตลอดจน วิธีคิด และปฏิบัติเพื่อหาทางเอาชนะวิกฤตที่เกิดขึ้น ในแบบฉบับของคนชื่อ “ตัน” ที่ไม่มีทางจะตันความคิด
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

“สวัสดีครับ เอาอยู่ไหมครับ พูดถึงเอาอยู่แล้วคิดถึงเรื่องน้ำท่วมนะครับ น้ำท่วมปีที่ผ่านมา ผมว่ามันก็เป็นประสบการณ์ครั้งยิ่งใหญ่สำหรับคนไทยทุกคนเลย และผมก็เชื่อว่าภายในห้องนี้ต้องมีส่วนร่วมทุกคน ไม่ว่าคุณจะท่วมหรือไม่ท่วม มันมีผลกระทบถึงพวกเราทุกๆคนอยู่แล้ว ผมจำได้เลย เริ่มจากนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ตอนนั้น ศปภ . (ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย) ก็บอกว่า เอาอยู่ ทางเจ้าหน้าที่ของอุตสาหกรรม ก็บอกว่า ทำเขื่อนไว้อย่างดีแล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ สุดท้ายจบด้วยสหรัตนนครจมครับ พอไปถึงนิคมไฮเทค เขาก็บอกว่า ตอนนี้เราทำเขื่อนรอบอุตสาหกรรมแล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วง นิคมโรจนะก็บอกทำเขื่อน 2 ชั้นเลยครับ หายห่วงนะครับ พอน้ำทะลักไปที่ จ.ปทุมธานี นิคมนวนคร เขาบอกว่าทำเขื่อนหลายชั้น สูง 5 เมตรด้วย ขนาดท่านผู้ว่าปทุมธานียังเอาตำแหน่งมาเดิมพัน สุดท้ายเจ๊งครับ ผู้ว่าก็เจ๊งไปด้วย”
“จริงๆแล้วก่อนน้ำท่วม ผมยังเป็นผู้ช่วยน้ำท่วมเล็กๆคนหนึ่ง เราทำตามกำลังเท่าที่สามารถทำได้ครับ ผ่านไปอีกวันหนึ่ง ผมว่าชีวิตผมเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลาหลายปี จากพนักงานแบกของมาเป็น supervisor จากพนักงานทำธุรกิจเล็กๆ จากขายหนังสือพิมพ์มาเป็นเจ้าของร้าน ใช้เวลา 6 เดือน หรือ 2- 3 ปี แต่ละรอบ เจ๊งมาหลายรอบ ใช้เวลาหลายปีกว่าจะฟื้น แต่มีอยู่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะครับ ที่มันพังข้ามวัน ผมกลายเป็นผู้ประสบภัย จากเป็นผู้ช่วยน้ำท่วม ตื่นเช้าขึ้นมาผมได้รับโทรศัพท์ที่นิคมมันจมไปแล้วครับ ถ้าพูดตรงๆ คือเราไม่มีแผนหนีนะครับ มีแต่แผนสู้ เพราะว่าเรากลับบ้านก็เปิดทีวี มีแต่บอกว่า “เอาอยู่ๆ” ความจริงผมก็เข้าใจผิดนะ คือเอาอยู่ของในทีวีเนี่ย ผมก็เข้าใจว่าเอาอยู่แปลว่าน้ำไม่เข้า ผมก็ป้องกันโรงงานโดยการก่อกำแพงขึ้นมา มีรถแม็คโคร 2 คัน ตักดิน ตักทราย และก็ขนหินเข้าไป ขนปูนเข้าไปในโรงงาน โรงงานของผมมี 76 ไร่ ตัวอาคารโรงงาน 50,000 ตารางเมตร คือก่ออิฐจาก 1 เมตร เป็น 1.50 เมตร สูงสุดเราก่อถึง 3 เมตร ก่อจนตัวเองออกมาไม่ได้ เคยไหม ก่อแล้วคนทั้งหมดจะอยู่ข้างใน อ้าวแล้วจะออกไปยังไง ต้องใช้บันไดปีนออกมา”

“เช้าวันที่ 16 ตุลาคม ผมได้รับโทรศัพท์ ว่าน้ำเข้านิคมแล้ว ไม่ไหวแล้ว ผมเลยตัดสินใจเข้าไปดูโรงงานนะครับ ก่อนเข้าไป ผมก็ไปที่ห้าง Foodland ซื้อของกิน เพราะว่าเราก็รู้ว่าโรงงานไม่มีอะไรกิน ผมรู้สึกว่าผมควรจะซื้ออาหารดีๆให้พนักงานกิน เพราะว่าเขาห่วงโรงงาน เขาเฝ้า และก็กินแต่มาม่ากับปลากระป๋องมานานแล้ว แต่สุดท้ายก็ซื้อพวกเครื่องกระป๋องกับมาม่าไปฝากอยู่ดี (หัวเราะ) แต่ก็ซื้อพวกของนอกนะครับ ซื้อไปหมื่นกว่าบาท แล้วก็ขอความช่วยเหลือทหาร ให้ส่งรถยีเอ็มซีมารับเราไปโรงงาน เพราะว่ารถของเราเข้าไปไม่ได้ครับ”
“รถทหารมารับตั้งแต่เช้าไปที่โรงงาน ก็ใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมงมาก จากที่บ้านผมไปถึงนิคมโรจนะ ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง ก่อนถึงโรงงานประมาณ 700 เมตร พนักงานโทรมาบอกว่า “สายไปแล้วครับ” คือผมเห็นหลังคาโรงงานแล้วครับ แต่เขาบอกน้ำทะลักเข้าไปในโรงงานแล้ว คือเราก่อกำแพง 3 เมตร แต่น้ำมาแค่ 1.50 เมตร กำแพงก็ทนไม่ไหวแล้วครับ แรงดันน้ำดันทะลุเข้าไป เข้าไปแล้วครับ ขณะที่เขาบอกว่า น้ำเข้าไปแล้วครับ ณ ตอนนั้นผมตกใจมาก ทำไมตัวผมเป็นแบบนี้ ดูเหมือนตึกทำไมเอียงไปเอียงมา รถมันเอียงไปเอียงมา คือ ผมเหมือนคนไม่สบาย เพราะเวลาเราไม่สบาย เราจะรู้สึกเหมือนว่าห้องมันหมุนครับ ผมก็รู้สึกว่าทำไมมันหมุนๆครับ ก็ถามข้างๆว่าทำไมผมรู้สึกว่ารถมันหมุนๆ เขาก็บอกว่ารู้สึกเหมือนกัน จริงๆแล้วไอ้รถคันที่เรานั่งไป มันลอยแล้วครับ เพราะตอนที่เราเข้าไป ระดับน้ำ เพิ่มขึ้นแทบทุกๆนาทีเลย ทุกๆ 10 นาที ขึ้นทีละนิ้ว เราขับไปใกล้ๆ โรงงานแค่เมตร 50 รถไปคาอยู่ที่คลอง เลียบฟุตบาธครับ เราขับไปเรื่อยๆไม่รู้ว่ารถเราไปคาอยู่ที่ฟุตบาธแล้ว 2 ล้ออยู่ที่คลอง อีก 2 ล้ออยู่บนฟุตบาธ คลองนี้ลึก 3 . 50 เมตร น้ำบนบกสูง 1.50 เมตร รวมแล้ว 5 เมตร ในรถคันนี้ มีทั้งไส้กรอก ปลากระป๋องของนอก มาม่าของนอก ถังน้ำมัน 200 ลิตรอีก 9 ถัง เตรียมไว้ปั่นไฟ รถเอียงไปครึ่งหนึ่ง ของต่างๆ ก็ไหลไปรวมกันข้างหนึ่ง รถก็ยิ่งเอียงมาก ทีมงานทุกคนก็ตกใจมาก ต้องค่อยๆออกมาจากรถครับ ถ้ารถอีกนาทีเดียวหรือ 2 นาทีถ้าเราไม่รู้ตัว หลอมตัวลงไป ตายหมู่นะครับ เพราะคลองลึก 5 เมตร รถคันนี้จริงๆแล้วมันไม่ตายง่ายๆขนาดนั้น แต่ตายแน่ๆเพราะว่ามันมีของเยอะทับเรา แล้วเราก็ทับกันเอง ออกจากรถหายใจไม่ได้”

“ตอนนั้นผมนึกถึงโรงงานก็เลยโทรศัพท์ไป ปรากฏว่าตอนนั้นน้ำ 1. 50 เมตรแล้ว ก็บอกว่า เอ่อ...ช่วยเอาเรือมารับผมหน่อย ตอนนี้รถเราคาอยู่ที่คลองไปไม่ได้แล้ว เขาบอกเอาเรือที่ไหนมารับ เออจริงด้วยเนอะ ตั้งแต่น้ำท่วมผมก็ลืมไปนะ ผมก็ซื้อเรือไปแจก แต่ลืมโรงงานของตัวเอง นี่เป็นเรื่องจริงนะครับ ชีวิตของเราเอง หลายครั้งครับ เราทำอะไร เราลืมคนข้างเคียงของเราเอง และผมก็ลืมจริงๆ ผมไม่เคยคิดเลยว่าโรงงานของผมมีความจำเป็นจะต้องใช้เรือและห้องน้ำด้วย และจะเอาเรือที่ไหนมารับครับ เขาบอกไม่มี บ้าแล้ว มารับผมหน่อยเ พราะผมไม่รู้จะเดินไปยังไง ถ้าเดินไปเรื่อยๆอาจจะเป็น 1.60 เมตรหรือ 1.80 เมตร ผมก็จมน้ำแล้วนะครับ ลูกผมก็ยังเล็กอยู่”
“สักพักหนึ่งเขาก็มารับผม เขาเอาเรือมารับผม เรือลำใหญ่ด้วย ยาวด้วย เรือที่มารับผมคือ โฟนผนังห้องเย็นครับ คือ ที่โรงงานผมมันมีผนังห้องเย็นล้มลงมา เขาก็เอาแผ่นเนี้ยพายมารับผม ทุกคนก็ขึ้นนะครับไป พอขึ้นมาที่โรงงาน ผมก็นับจำนวนคนที่มาพร้อมกัน ปรากฎขาดไป 2 คนนะ หายไปไหน 2 คนนะ ตอนเช้านับมา 11 คน แล้วทำไมเหลือ 9 คน อีก 2 คนหายไปไหน ก็รู้ว่า ทหารคนขับรถ 2 คน เขาไม่ได้ลงเรือลำนี้มาด้วย เขาบอกว่าเขาต้องเฝ้ารถ เพราะว่าเขามีหน้าที่เฝ้ารถ พวกทหารมีระเบียบวินัยดีมาก คือมีคำสั่งมาให้ดูแลรถ น้ำท่วมแล้วเขายังต้องดูแลรถ พนักงานผมก็พายเรือกลับมาบอกว่า “เจ้านายครับ พี่ทหาร 2 คนบอกว่าไม่มีคำสั่ง เขาละทิ้งรถไม่ได้ เขาขออนุญาตเฝ้ารถ และคืนนี้ขออนุญาตนอนในรถ” ซึ่งตอนนั้นมันก็เย็นแล้ว ผมก็เอาโทรศัพท์มากดหาหัวหน้าเขา ปรากฏโทร.ไม่ติด โทร.ไปหลายครั้ง กว่า 15 นาที ก็โทร.ไม่ติด คิดในใจ ตอนนี้ น้ำต้องเพิ่มสูงขึ้นมาแน่ๆ ผมจะเอายังไงดี ในเมื่อผมติดต่อใครไม่ได้ ทหารถ้าไม่มีคำสั่งเขาจะไม่ไปไหนเด็ดขาด ผมก็เอาอย่างนี้แล้วกัน “เอ็งไปบอกเขาแล้วกันว่า กูคุยกับหัวหน้าเขาเรียบร้อยแล้ว” พนักงานของผมก็พายเรือไปบอกพี่ทหารว่า “พี่ทหารครับ คุณตันได้คุยกับเจ้านายของพวกพี่แล้วครับ เจ้านายคุณอนุญาตให้คุณขึ้นไปที่ตึกครับ" ทหารพอได้ยินลูกน้องผมบอกอย่างนั้น ก็กดโทรศัพท์ไปหาเจ้านายของเขา กูโทร.ไม่ติดแล้วมึงจะโทร.ติดได้ไง (หัวเราะ) แปลว่าคุณตันคงคุยแล้ว อ่า...อย่างนั้นก็โอเค ทหารเขาก็ยอมมาที่โรงงานแล้วกัน”

“แต่ต้องเข้าใจนะครับ ชายชาติทหารเนี่ย มีศักดิ์ศรี เขาบอกว่าแต่เขาขอไม่นั่งเรือ เขาขอเดินไปเอง โชคดีมากนะครับ ทหารคนนั้นสูงมาก แล้วเขาก็เอาของส่วนตัวถือไว้บนหัว เราก็มองไกลๆทำอะไรวะ เรืออย่างดีนะครับ ยาวด้วย ปลอดภัยด้วย แต่เขาก็เดินมา เดินมาจนใกล้เข้าโรงงาน แต่เข้าไม่ได้ครับ เพราะกระแสน้ำพัดไหลออกประตู เขาก็เดินกันอยู่ 2 คน คือเดินไปเดินมา 3 รอบ ไม่เข้าประตูสักที เราก็บอกว่า “พี่เดินเลยประตูไป 2 เมตรนะ” เขาก็งงจะเดินเลยประตูทำไม ก็เมื่อกี๊กูพายเรือมากูก็โดนแบบนี่แหละ คือพายกำลังจะเข้า น้ำก็พัดออก ทุกท่านคงเคยดูรายการสอนตีกอล์ฟนะครับ บางคนอาจเคยตีหรือไม่เคยตี แต่ก็คงมีโอกาสดู ผมยืนยันว่าผมไม่ตีกอล์ฟ ไม่เคยสนใจเรื่องกอล์ฟ ไม่เคยไปสนามกอล์ฟ แต่เคยดูรายการสอนกอล์ฟสั้นๆ 3 นาที โปรกอล์ฟเขาสอนว่า การตีกอล์ฟขึ้นอยู่กับการเลือกไม้ พอผ่านไปอีกวันหนึ่ง โปรกอล์ฟบอกว่าการตีกอล์ฟขึ้นอยู่กับแรง พอผ่านไปอีกครั้งหนึ่ง เปิดไปเจอ โปรกอล์ฟก็บอกว่า การตีกอล์ฟไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเลือกไม้ และก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแรง ขึ้นอยู่กับลม เขาบอกว่าถ้าเราใช้แรงเท่าเดิม แต่ถ้าวันนี้ทวนลม น้ำหนักก็จะไม่ได้ เป้าหมายก็จะผิดพลาดอีกเหมือนกัน ผมก็งง สรุปมันยังไงก็แน่ คือผมตีกอล์ฟไม่เป็น ผมก็ชักรำคาญแล้วตกลงจะเอายังไง เขาบอกว่าสมมตินี่คือหลุม เขาบอกว่าถ้าเราเล็งไปที่หลุม เราจะตีลูกให้ลงหลุมเลย โอกาสจะตีโฮอินวัน (ตีครั้งเดียวลงหลุม) มันยากมาก มันก็เหมือนกับการทำธุรกิจ คุณต้องเล็งเป้าให้มันใหญ่ขึ้น คุณต้องรู้จักเป้าหมายให้ดี คือคุณต้องไปสำรวจว่าหลุมที่เราตีตรงไหนสูงกว่า นั่นหมายถึงว่าจากนี้ไป 2 -3 เมตร ถ้าตรงไหนสูง ขอให้ตีลูกลงแถวสูงๆตรงนั้น เดี๋ยวมันก็ไหลลงหลุมไปเอง แสดงว่าเป้าหมายของคุณใหญ่กว่าเดิม การพิชิตเป้าหมายง่ายกว่าเดิม ตอนนั้น ผมนึกถึงเรื่องนี้เลย”

“ คือถ้าผมเดินเลยประตูไปอีก 2 เมตร ปล่อยมันไหล น้ำจะพัดเราเข้าประตูเอง ส่วนนี้ผมมาเล่าให้ฟังเพื่ออะไร เพื่อให้ท่านได้ทราบว่า บางครั้งเราเรียนหนังสือ บางทีเราทำธุรกิจ บางทีเราดูหนัง บางทีเราไปเที่ยวต่างประเทศ บางทีเราตกงาน ชีวิตนี้ เรื่องนี้ ธุรกิจนี้ นิยายเรื่องนี้ ประสบการณ์ครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับกู ไม่เกี่ยวกับเรา ไม่ใช่อาชีพเรา เราเป็นโรงงานทำเหล็ก เราไม่ฟังเรื่องน้ำ เราทำโรงงานน้ำ เราไม่ฟังเรื่องเกษตร แต่ผมอยากฝากว่า “คุณฟังไปเถอะ” ความรู้ก็เหมือนคลอง เหมือนน้ำท่วมครั้งนี้ คุณเชื่อไหมครับ คลองบางครั้งเราไปต่างจังหวัด เราเห็นคลองใหญ่มากไม่มีน้ำเลย แล้วมันมาใช้ตอนไหนครับ ใช้ตอนน้ำท่วมครั้งใหญ่ๆ นี่แหละ คลองอำเภอไหน จังหวัดไหน คลองใครใหญ่กว่าจะได้เปรียบ เพราะวันที่น้ำมา แต่เราไม่มีคลองเก็บ ก็เหมือนกับที่หนังสือเราอ่าน เหมือนเรื่องที่เราไปฟังมาไม่เห็นได้ใช้เลย แต่พอเจอวิกฤติ เจอปัญหาพบ แต่เรามีคลองใหญ่ เก็บน้ำได้เยอะกว่า ก็เหมือนกับว่าถ้าเราอ่านหนังสือเยอะๆ ฟังเยอะๆ ดูเยอะๆ เที่ยวเยอะๆ ความรู้เราในลิ้นชัก ความรู้เราในสมองเยอะ พอเจอปัญหาก็ดึงออกมา หยิบออกมาใช้ เหมือนกับตอนที่เราเข้าประตูไม่ได้ ผมก็ไม่รู้จะเข้ายังไง ผมเลี้ยวไป 2 ครั้ง ผมนึกถึงคลอง ผมก็เดินเลยไปให้เป้าหมายมันใหญ่ขึ้น แค่นั้นเองนะครับ อย่าไปรู้สึกว่าเสียเวลาเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรา เราทำธุรกิจค้าปลีก เราไม่สนใจเรื่องประมง เราไม่สนใจเรื่องเกษตรไม่ได้ ทุกอย่างเกี่ยวกับเราหมดเลยครับ รู้ไปเถอะมันไม่ได้เสียหาย มีแต่ได้ ถ้าสักวันหนึ่งมันเกิดวิกฤติ เกิดปัญหา เราแก้ไม่ได้ แต่ทำไมอีกคนแก้ได้ เพราะในลิ้นชักของเขามีของเก็บมากกว่าเรา เท่านั้นเองครับ ไม่ได้เก่งกว่าเรา แต่เพราะเราไม่เคยเก็บอะไรไว้ในลิ้นชักต่างหาก”
“หลังจากทุกคน ขึ้นมาบนโรงงานได้หมดแล้ว ผมก็บอกทหารว่า จริงๆแล้วผมยังไม่ได้โทร.หาหัวหน้าเขาเลย เขาก็ตกใจ ผมก็บอกว่า “ไม่เป็นไร ทุกอย่างผมรับผิดชอบเอง” ซึ่งวันรุ่งขึ้น ถ้าเกิดเขาไม่ได้ขึ้นมาที่ตึก ชีวิตเขาจะเป็นยังไงครับ เพราะไม่กี่นาทีต่อมารถทหารจมทั้งคัน ถ้าเกิดเขาอยู่ตรงไหนปอดบวมตายครับ”

@@@@@@@ อ่านต่อตอนที่ 2 ในวันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2555@@@@@@@@@
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *
แม้จะสูญเสียทรัพย์สินไปจำนวนมาก ทว่า ในมุมมองของชายคนนี้ กลับเชื่อว่า ท่ามกลางปัญหาที่เกิดขึ้น ยังพบว่า มีด้านบวกเช่นกัน ซึ่งไม่นานมานี่ เจ้าของตำนานชาเขียว ได้ขึ้นเวทีบอกเล่าประสบการณ์น้ำท่วมโรงงาน ตลอดจน วิธีคิด และปฏิบัติเพื่อหาทางเอาชนะวิกฤตที่เกิดขึ้น ในแบบฉบับของคนชื่อ “ตัน” ที่ไม่มีทางจะตันความคิด
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
“สวัสดีครับ เอาอยู่ไหมครับ พูดถึงเอาอยู่แล้วคิดถึงเรื่องน้ำท่วมนะครับ น้ำท่วมปีที่ผ่านมา ผมว่ามันก็เป็นประสบการณ์ครั้งยิ่งใหญ่สำหรับคนไทยทุกคนเลย และผมก็เชื่อว่าภายในห้องนี้ต้องมีส่วนร่วมทุกคน ไม่ว่าคุณจะท่วมหรือไม่ท่วม มันมีผลกระทบถึงพวกเราทุกๆคนอยู่แล้ว ผมจำได้เลย เริ่มจากนิคมอุตสาหกรรมสหรัตนนคร ตอนนั้น ศปภ . (ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย) ก็บอกว่า เอาอยู่ ทางเจ้าหน้าที่ของอุตสาหกรรม ก็บอกว่า ทำเขื่อนไว้อย่างดีแล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ สุดท้ายจบด้วยสหรัตนนครจมครับ พอไปถึงนิคมไฮเทค เขาก็บอกว่า ตอนนี้เราทำเขื่อนรอบอุตสาหกรรมแล้วครับ ไม่ต้องเป็นห่วง นิคมโรจนะก็บอกทำเขื่อน 2 ชั้นเลยครับ หายห่วงนะครับ พอน้ำทะลักไปที่ จ.ปทุมธานี นิคมนวนคร เขาบอกว่าทำเขื่อนหลายชั้น สูง 5 เมตรด้วย ขนาดท่านผู้ว่าปทุมธานียังเอาตำแหน่งมาเดิมพัน สุดท้ายเจ๊งครับ ผู้ว่าก็เจ๊งไปด้วย”
“จริงๆแล้วก่อนน้ำท่วม ผมยังเป็นผู้ช่วยน้ำท่วมเล็กๆคนหนึ่ง เราทำตามกำลังเท่าที่สามารถทำได้ครับ ผ่านไปอีกวันหนึ่ง ผมว่าชีวิตผมเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง แต่ละครั้งใช้เวลาหลายปี จากพนักงานแบกของมาเป็น supervisor จากพนักงานทำธุรกิจเล็กๆ จากขายหนังสือพิมพ์มาเป็นเจ้าของร้าน ใช้เวลา 6 เดือน หรือ 2- 3 ปี แต่ละรอบ เจ๊งมาหลายรอบ ใช้เวลาหลายปีกว่าจะฟื้น แต่มีอยู่ครั้งนี้ครั้งเดียวนะครับ ที่มันพังข้ามวัน ผมกลายเป็นผู้ประสบภัย จากเป็นผู้ช่วยน้ำท่วม ตื่นเช้าขึ้นมาผมได้รับโทรศัพท์ที่นิคมมันจมไปแล้วครับ ถ้าพูดตรงๆ คือเราไม่มีแผนหนีนะครับ มีแต่แผนสู้ เพราะว่าเรากลับบ้านก็เปิดทีวี มีแต่บอกว่า “เอาอยู่ๆ” ความจริงผมก็เข้าใจผิดนะ คือเอาอยู่ของในทีวีเนี่ย ผมก็เข้าใจว่าเอาอยู่แปลว่าน้ำไม่เข้า ผมก็ป้องกันโรงงานโดยการก่อกำแพงขึ้นมา มีรถแม็คโคร 2 คัน ตักดิน ตักทราย และก็ขนหินเข้าไป ขนปูนเข้าไปในโรงงาน โรงงานของผมมี 76 ไร่ ตัวอาคารโรงงาน 50,000 ตารางเมตร คือก่ออิฐจาก 1 เมตร เป็น 1.50 เมตร สูงสุดเราก่อถึง 3 เมตร ก่อจนตัวเองออกมาไม่ได้ เคยไหม ก่อแล้วคนทั้งหมดจะอยู่ข้างใน อ้าวแล้วจะออกไปยังไง ต้องใช้บันไดปีนออกมา”
“เช้าวันที่ 16 ตุลาคม ผมได้รับโทรศัพท์ ว่าน้ำเข้านิคมแล้ว ไม่ไหวแล้ว ผมเลยตัดสินใจเข้าไปดูโรงงานนะครับ ก่อนเข้าไป ผมก็ไปที่ห้าง Foodland ซื้อของกิน เพราะว่าเราก็รู้ว่าโรงงานไม่มีอะไรกิน ผมรู้สึกว่าผมควรจะซื้ออาหารดีๆให้พนักงานกิน เพราะว่าเขาห่วงโรงงาน เขาเฝ้า และก็กินแต่มาม่ากับปลากระป๋องมานานแล้ว แต่สุดท้ายก็ซื้อพวกเครื่องกระป๋องกับมาม่าไปฝากอยู่ดี (หัวเราะ) แต่ก็ซื้อพวกของนอกนะครับ ซื้อไปหมื่นกว่าบาท แล้วก็ขอความช่วยเหลือทหาร ให้ส่งรถยีเอ็มซีมารับเราไปโรงงาน เพราะว่ารถของเราเข้าไปไม่ได้ครับ”
“รถทหารมารับตั้งแต่เช้าไปที่โรงงาน ก็ใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมงมาก จากที่บ้านผมไปถึงนิคมโรจนะ ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง ก่อนถึงโรงงานประมาณ 700 เมตร พนักงานโทรมาบอกว่า “สายไปแล้วครับ” คือผมเห็นหลังคาโรงงานแล้วครับ แต่เขาบอกน้ำทะลักเข้าไปในโรงงานแล้ว คือเราก่อกำแพง 3 เมตร แต่น้ำมาแค่ 1.50 เมตร กำแพงก็ทนไม่ไหวแล้วครับ แรงดันน้ำดันทะลุเข้าไป เข้าไปแล้วครับ ขณะที่เขาบอกว่า น้ำเข้าไปแล้วครับ ณ ตอนนั้นผมตกใจมาก ทำไมตัวผมเป็นแบบนี้ ดูเหมือนตึกทำไมเอียงไปเอียงมา รถมันเอียงไปเอียงมา คือ ผมเหมือนคนไม่สบาย เพราะเวลาเราไม่สบาย เราจะรู้สึกเหมือนว่าห้องมันหมุนครับ ผมก็รู้สึกว่าทำไมมันหมุนๆครับ ก็ถามข้างๆว่าทำไมผมรู้สึกว่ารถมันหมุนๆ เขาก็บอกว่ารู้สึกเหมือนกัน จริงๆแล้วไอ้รถคันที่เรานั่งไป มันลอยแล้วครับ เพราะตอนที่เราเข้าไป ระดับน้ำ เพิ่มขึ้นแทบทุกๆนาทีเลย ทุกๆ 10 นาที ขึ้นทีละนิ้ว เราขับไปใกล้ๆ โรงงานแค่เมตร 50 รถไปคาอยู่ที่คลอง เลียบฟุตบาธครับ เราขับไปเรื่อยๆไม่รู้ว่ารถเราไปคาอยู่ที่ฟุตบาธแล้ว 2 ล้ออยู่ที่คลอง อีก 2 ล้ออยู่บนฟุตบาธ คลองนี้ลึก 3 . 50 เมตร น้ำบนบกสูง 1.50 เมตร รวมแล้ว 5 เมตร ในรถคันนี้ มีทั้งไส้กรอก ปลากระป๋องของนอก มาม่าของนอก ถังน้ำมัน 200 ลิตรอีก 9 ถัง เตรียมไว้ปั่นไฟ รถเอียงไปครึ่งหนึ่ง ของต่างๆ ก็ไหลไปรวมกันข้างหนึ่ง รถก็ยิ่งเอียงมาก ทีมงานทุกคนก็ตกใจมาก ต้องค่อยๆออกมาจากรถครับ ถ้ารถอีกนาทีเดียวหรือ 2 นาทีถ้าเราไม่รู้ตัว หลอมตัวลงไป ตายหมู่นะครับ เพราะคลองลึก 5 เมตร รถคันนี้จริงๆแล้วมันไม่ตายง่ายๆขนาดนั้น แต่ตายแน่ๆเพราะว่ามันมีของเยอะทับเรา แล้วเราก็ทับกันเอง ออกจากรถหายใจไม่ได้”
“ตอนนั้นผมนึกถึงโรงงานก็เลยโทรศัพท์ไป ปรากฏว่าตอนนั้นน้ำ 1. 50 เมตรแล้ว ก็บอกว่า เอ่อ...ช่วยเอาเรือมารับผมหน่อย ตอนนี้รถเราคาอยู่ที่คลองไปไม่ได้แล้ว เขาบอกเอาเรือที่ไหนมารับ เออจริงด้วยเนอะ ตั้งแต่น้ำท่วมผมก็ลืมไปนะ ผมก็ซื้อเรือไปแจก แต่ลืมโรงงานของตัวเอง นี่เป็นเรื่องจริงนะครับ ชีวิตของเราเอง หลายครั้งครับ เราทำอะไร เราลืมคนข้างเคียงของเราเอง และผมก็ลืมจริงๆ ผมไม่เคยคิดเลยว่าโรงงานของผมมีความจำเป็นจะต้องใช้เรือและห้องน้ำด้วย และจะเอาเรือที่ไหนมารับครับ เขาบอกไม่มี บ้าแล้ว มารับผมหน่อยเ พราะผมไม่รู้จะเดินไปยังไง ถ้าเดินไปเรื่อยๆอาจจะเป็น 1.60 เมตรหรือ 1.80 เมตร ผมก็จมน้ำแล้วนะครับ ลูกผมก็ยังเล็กอยู่”
“สักพักหนึ่งเขาก็มารับผม เขาเอาเรือมารับผม เรือลำใหญ่ด้วย ยาวด้วย เรือที่มารับผมคือ โฟนผนังห้องเย็นครับ คือ ที่โรงงานผมมันมีผนังห้องเย็นล้มลงมา เขาก็เอาแผ่นเนี้ยพายมารับผม ทุกคนก็ขึ้นนะครับไป พอขึ้นมาที่โรงงาน ผมก็นับจำนวนคนที่มาพร้อมกัน ปรากฎขาดไป 2 คนนะ หายไปไหน 2 คนนะ ตอนเช้านับมา 11 คน แล้วทำไมเหลือ 9 คน อีก 2 คนหายไปไหน ก็รู้ว่า ทหารคนขับรถ 2 คน เขาไม่ได้ลงเรือลำนี้มาด้วย เขาบอกว่าเขาต้องเฝ้ารถ เพราะว่าเขามีหน้าที่เฝ้ารถ พวกทหารมีระเบียบวินัยดีมาก คือมีคำสั่งมาให้ดูแลรถ น้ำท่วมแล้วเขายังต้องดูแลรถ พนักงานผมก็พายเรือกลับมาบอกว่า “เจ้านายครับ พี่ทหาร 2 คนบอกว่าไม่มีคำสั่ง เขาละทิ้งรถไม่ได้ เขาขออนุญาตเฝ้ารถ และคืนนี้ขออนุญาตนอนในรถ” ซึ่งตอนนั้นมันก็เย็นแล้ว ผมก็เอาโทรศัพท์มากดหาหัวหน้าเขา ปรากฏโทร.ไม่ติด โทร.ไปหลายครั้ง กว่า 15 นาที ก็โทร.ไม่ติด คิดในใจ ตอนนี้ น้ำต้องเพิ่มสูงขึ้นมาแน่ๆ ผมจะเอายังไงดี ในเมื่อผมติดต่อใครไม่ได้ ทหารถ้าไม่มีคำสั่งเขาจะไม่ไปไหนเด็ดขาด ผมก็เอาอย่างนี้แล้วกัน “เอ็งไปบอกเขาแล้วกันว่า กูคุยกับหัวหน้าเขาเรียบร้อยแล้ว” พนักงานของผมก็พายเรือไปบอกพี่ทหารว่า “พี่ทหารครับ คุณตันได้คุยกับเจ้านายของพวกพี่แล้วครับ เจ้านายคุณอนุญาตให้คุณขึ้นไปที่ตึกครับ" ทหารพอได้ยินลูกน้องผมบอกอย่างนั้น ก็กดโทรศัพท์ไปหาเจ้านายของเขา กูโทร.ไม่ติดแล้วมึงจะโทร.ติดได้ไง (หัวเราะ) แปลว่าคุณตันคงคุยแล้ว อ่า...อย่างนั้นก็โอเค ทหารเขาก็ยอมมาที่โรงงานแล้วกัน”
“แต่ต้องเข้าใจนะครับ ชายชาติทหารเนี่ย มีศักดิ์ศรี เขาบอกว่าแต่เขาขอไม่นั่งเรือ เขาขอเดินไปเอง โชคดีมากนะครับ ทหารคนนั้นสูงมาก แล้วเขาก็เอาของส่วนตัวถือไว้บนหัว เราก็มองไกลๆทำอะไรวะ เรืออย่างดีนะครับ ยาวด้วย ปลอดภัยด้วย แต่เขาก็เดินมา เดินมาจนใกล้เข้าโรงงาน แต่เข้าไม่ได้ครับ เพราะกระแสน้ำพัดไหลออกประตู เขาก็เดินกันอยู่ 2 คน คือเดินไปเดินมา 3 รอบ ไม่เข้าประตูสักที เราก็บอกว่า “พี่เดินเลยประตูไป 2 เมตรนะ” เขาก็งงจะเดินเลยประตูทำไม ก็เมื่อกี๊กูพายเรือมากูก็โดนแบบนี่แหละ คือพายกำลังจะเข้า น้ำก็พัดออก ทุกท่านคงเคยดูรายการสอนตีกอล์ฟนะครับ บางคนอาจเคยตีหรือไม่เคยตี แต่ก็คงมีโอกาสดู ผมยืนยันว่าผมไม่ตีกอล์ฟ ไม่เคยสนใจเรื่องกอล์ฟ ไม่เคยไปสนามกอล์ฟ แต่เคยดูรายการสอนกอล์ฟสั้นๆ 3 นาที โปรกอล์ฟเขาสอนว่า การตีกอล์ฟขึ้นอยู่กับการเลือกไม้ พอผ่านไปอีกวันหนึ่ง โปรกอล์ฟบอกว่าการตีกอล์ฟขึ้นอยู่กับแรง พอผ่านไปอีกครั้งหนึ่ง เปิดไปเจอ โปรกอล์ฟก็บอกว่า การตีกอล์ฟไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเลือกไม้ และก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแรง ขึ้นอยู่กับลม เขาบอกว่าถ้าเราใช้แรงเท่าเดิม แต่ถ้าวันนี้ทวนลม น้ำหนักก็จะไม่ได้ เป้าหมายก็จะผิดพลาดอีกเหมือนกัน ผมก็งง สรุปมันยังไงก็แน่ คือผมตีกอล์ฟไม่เป็น ผมก็ชักรำคาญแล้วตกลงจะเอายังไง เขาบอกว่าสมมตินี่คือหลุม เขาบอกว่าถ้าเราเล็งไปที่หลุม เราจะตีลูกให้ลงหลุมเลย โอกาสจะตีโฮอินวัน (ตีครั้งเดียวลงหลุม) มันยากมาก มันก็เหมือนกับการทำธุรกิจ คุณต้องเล็งเป้าให้มันใหญ่ขึ้น คุณต้องรู้จักเป้าหมายให้ดี คือคุณต้องไปสำรวจว่าหลุมที่เราตีตรงไหนสูงกว่า นั่นหมายถึงว่าจากนี้ไป 2 -3 เมตร ถ้าตรงไหนสูง ขอให้ตีลูกลงแถวสูงๆตรงนั้น เดี๋ยวมันก็ไหลลงหลุมไปเอง แสดงว่าเป้าหมายของคุณใหญ่กว่าเดิม การพิชิตเป้าหมายง่ายกว่าเดิม ตอนนั้น ผมนึกถึงเรื่องนี้เลย”
“ คือถ้าผมเดินเลยประตูไปอีก 2 เมตร ปล่อยมันไหล น้ำจะพัดเราเข้าประตูเอง ส่วนนี้ผมมาเล่าให้ฟังเพื่ออะไร เพื่อให้ท่านได้ทราบว่า บางครั้งเราเรียนหนังสือ บางทีเราทำธุรกิจ บางทีเราดูหนัง บางทีเราไปเที่ยวต่างประเทศ บางทีเราตกงาน ชีวิตนี้ เรื่องนี้ ธุรกิจนี้ นิยายเรื่องนี้ ประสบการณ์ครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับกู ไม่เกี่ยวกับเรา ไม่ใช่อาชีพเรา เราเป็นโรงงานทำเหล็ก เราไม่ฟังเรื่องน้ำ เราทำโรงงานน้ำ เราไม่ฟังเรื่องเกษตร แต่ผมอยากฝากว่า “คุณฟังไปเถอะ” ความรู้ก็เหมือนคลอง เหมือนน้ำท่วมครั้งนี้ คุณเชื่อไหมครับ คลองบางครั้งเราไปต่างจังหวัด เราเห็นคลองใหญ่มากไม่มีน้ำเลย แล้วมันมาใช้ตอนไหนครับ ใช้ตอนน้ำท่วมครั้งใหญ่ๆ นี่แหละ คลองอำเภอไหน จังหวัดไหน คลองใครใหญ่กว่าจะได้เปรียบ เพราะวันที่น้ำมา แต่เราไม่มีคลองเก็บ ก็เหมือนกับที่หนังสือเราอ่าน เหมือนเรื่องที่เราไปฟังมาไม่เห็นได้ใช้เลย แต่พอเจอวิกฤติ เจอปัญหาพบ แต่เรามีคลองใหญ่ เก็บน้ำได้เยอะกว่า ก็เหมือนกับว่าถ้าเราอ่านหนังสือเยอะๆ ฟังเยอะๆ ดูเยอะๆ เที่ยวเยอะๆ ความรู้เราในลิ้นชัก ความรู้เราในสมองเยอะ พอเจอปัญหาก็ดึงออกมา หยิบออกมาใช้ เหมือนกับตอนที่เราเข้าประตูไม่ได้ ผมก็ไม่รู้จะเข้ายังไง ผมเลี้ยวไป 2 ครั้ง ผมนึกถึงคลอง ผมก็เดินเลยไปให้เป้าหมายมันใหญ่ขึ้น แค่นั้นเองนะครับ อย่าไปรู้สึกว่าเสียเวลาเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเรา เราทำธุรกิจค้าปลีก เราไม่สนใจเรื่องประมง เราไม่สนใจเรื่องเกษตรไม่ได้ ทุกอย่างเกี่ยวกับเราหมดเลยครับ รู้ไปเถอะมันไม่ได้เสียหาย มีแต่ได้ ถ้าสักวันหนึ่งมันเกิดวิกฤติ เกิดปัญหา เราแก้ไม่ได้ แต่ทำไมอีกคนแก้ได้ เพราะในลิ้นชักของเขามีของเก็บมากกว่าเรา เท่านั้นเองครับ ไม่ได้เก่งกว่าเรา แต่เพราะเราไม่เคยเก็บอะไรไว้ในลิ้นชักต่างหาก”
“หลังจากทุกคน ขึ้นมาบนโรงงานได้หมดแล้ว ผมก็บอกทหารว่า จริงๆแล้วผมยังไม่ได้โทร.หาหัวหน้าเขาเลย เขาก็ตกใจ ผมก็บอกว่า “ไม่เป็นไร ทุกอย่างผมรับผิดชอบเอง” ซึ่งวันรุ่งขึ้น ถ้าเกิดเขาไม่ได้ขึ้นมาที่ตึก ชีวิตเขาจะเป็นยังไงครับ เพราะไม่กี่นาทีต่อมารถทหารจมทั้งคัน ถ้าเกิดเขาอยู่ตรงไหนปอดบวมตายครับ”
@@@@@@@ อ่านต่อตอนที่ 2 ในวันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2555@@@@@@@@@
* * * คลิก Like เพื่อมาเป็นแฟนเพจของหน้า "SME ผู้จัดการออนไลน์" รับข่าวสารในแวดวงธุรกิจเอสเอ็มอีที่สมบูรณ์แบบที่สุด และร่วมสนุกกับกิจกรรมลุ้นรับของรางวัลมากมายคลิกที่นี่เลย!! * * *