ขณะที่กระแสน้ำเชี่ยวกรากได้พัดพาเอาความหวังของคนไทยกว่าค่อนประเทศจมหายไปลับตา ยังคงมีคนกลุ่มหนึ่งที่พร้อมอยู่เคียงข้าง ทำให้เส้นทางมืดบอดกลับสดใส พลิกฟื้นจิตใจที่ห่อเหี่ยวของผู้ประสบภัยให้กลับคืนมาอีกครั้ง ด้วยคำมั่นสัญญาจากปากชายชาติทหารและการกระทำอันหนักแน่นที่ช่วยยืนยันให้อุ่นใจได้ว่า “แล้วเราจะได้กลับมายืนหยัดอยู่บนผืนแผ่นดินเดิม กลับมาทำมาหากินอย่างที่เคยเป็นโดยเร็วที่สุด” เช่นเดียวกับบทพิสูจน์ในวันนี้ที่ “ผู้พันเบิร์ด” แสดงให้ได้เห็นโดยไม่จำเป็นต้องเสแสร้ง
… 10 โมงเช้าวันเสาร์ อาจเป็นช่วงเวลาบิดขี้เกียจของใครบางคน เป็นเวลาเปิดทำการของห้างสรรพสินค้าสำหรับนักชอป หรืออาจเป็นเพียงเวลาเสี้ยวหนึ่งของวันหยุดที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่สำหรับ “พ.ท.วันชนะ สวัสดี” หรือ “ผู้พันเบิร์ด” มันคือช่วงเวลาแห่งความหวัง เป็นเวลาที่รถเหล็กคันเขียวได้จอดรับสมาชิกจากครอบครัวผู้ประสบภัยอีกราย เพื่อให้วัยรุ่นชายคนหนึ่งนำทางกองทัพเข้าไปช่วยเหลือพ่อแม่ของเขาที่ติดอยู่ภายในบ้านย่านทวีวัฒนา พื้นที่ที่เพิ่งพ่ายแพ้ต่อแรงดันน้ำเมื่อไม่กี่วันก่อนและมีแนวโน้มว่าระดับน้ำจะสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเสี่ยงต่อชีวิตมากขึ้นทุกที
ทีมงาน M-Lite ขอตามติดภารกิจครั้งนี้ไปด้วย จึงทำให้มีโอกาสได้นั่งรถบีเอ็มซีฝ่ากระแสน้ำจากย่านราชพฤกษ์ไปจนสุดขีดจำกัดที่รถสะเทินน้ำสะเทินบกคันนี้จะฝ่าเข้าไปได้ ทิวทัศน์ข้างทางเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย จากทางรถค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นทางเรือ มีผู้คนผลัดเปลี่ยนขอติดรถไปยังเส้นทางเดียวกันอยู่ไม่ขาดสาย
ผู้พันเบิร์ดยิ้มรับทุกคนด้วยแววตาเป็นมิตรและคอยหยิบยื่นความช่วยเหลือให้ตลอดเวลา ทั้งช่วยดึงคนขึ้นรถ แบกสัมภาระขึ้นลง คอยพูดคุย อธิบาย และให้กำลังใจผู้ประสบภัย “สู้ๆ นะครับ”
แม้ขณะที่กำลังให้สัมภาษณ์กับทีมงาน ผู้พันยังมีจิตใจจดจ่ออยู่กับความเคลื่อนไหวนอกรถและขอปลีกตัวไปช่วยหลายต่อหลายครั้ง ทุกการกระทำของชายชาติทหารนายนี้ทำให้ทีมงานเข้าใจชัดเจนแล้วว่า เหตุใดเมื่อแรกโทร.ติดต่อขอสัมภาษณ์ เขาจึงต้องถามคำถามนี้ “เกี่ยวกับวงการบันเทิงหรือน้ำท่วมครับ” คงเป็นเพราะในหัวของผู้พันตอนนี้มีเพียงเรื่องความเดือดร้อนของประชาชนวนเวียนอยู่นั่นเอง
ไม่มีวันถอดใจ
การวนรับส่ง จัดรถเมล์และเรือเมล์อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประสบภัยเป็นเพียงหนึ่งในภารกิจของทหาร “งานวันนี้ถือว่าสบายมากนะ” ผู้พันบอกอย่างนั้น แท้จริงแล้วยังมีภารกิจยิบย่อยอีกหลายอย่างที่อยู่ในความดูแล ทั้งการดูแลและป้องกัน เช่น การก่อกระสอบทราย ทำฝายและคันดินกั้นน้ำ, การซ่อมแซมและกู้คืน ตามอุดรูรั่วในพื้นที่ที่มีน้ำทะลัก, การอพยพขนย้ายคนและสิ่งของออกจากพื้นที่ และสุดท้ายคือการช่วยเหลือและบริการประชาชน “ภารกิจหลักๆ ของวันนี้น่าจะเป็นสองอย่างหลัง เดี๋ยวลองดูไปเรื่อยๆ แล้วจะเข้าใจว่าเรากำลังทำอะไรอยู่”
เมื่อได้ยินเสียงชาวบ้านร้องเรียกขอความช่วยเหลือตามรายทาง ผู้พันเบิร์ดจึงขอให้คนขับจอดและลงไปพูดคุยอย่างเป็นกันเอง “ออกมาน่ะดีแล้วครับ คิดถูกแล้ว เพราะเดี๋ยวน้ำก็จะขึ้นอีก แล้วนี่พี่จะไปไหน (รอคำตอบ) ต้องรอรถนิดหนึ่งนะ เพราะผมต้องเข้าไปช่วยคนข้างในก่อน แล้วเดี๋ยวจะวนมารับอีกรอบ ไปส่งแถวพระราม 5”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่คนในรถได้ยินประโยคนี้ เพราะผู้พันพูดแบบเดียวกันมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง แถมยังอธิบายด้วยรอยยิ้มโดยไม่มีสีหน้าเบื่อหน่าย อดสงสัยไม่ได้ว่าเหนื่อยบ้างหรือไม่ คนถูกถามจึงมอบรอยยิ้มอบอุ่นให้ก่อนตอบ
“ก็มีเหนื่อยบ้างเหมือนกันครับ แต่ส่วนใหญ่จะรู้สึกเหนื่อยตอนที่จะก้าวเท้าออกจากบ้านในแต่ละวัน มันคือความเหนื่อยสะสม แต่เชื่อไหมพอจบภารกิจในแต่ละวัน พอได้ช่วยเหลือประชาชน ได้ให้กำลังใจเขา สุดท้ายกำลังใจเหล่านั้นมันก็กลับมาที่เรา ทำให้หายเหนื่อยไปเลย ได้เห็นเขายิ้มแย้ม มีคนเข้ามาขอบคุณผ่านเฟซบุ๊ก ทุกอย่างเป็นกำลังใจที่ดีมากๆ อยากให้ทุกคนรู้ว่าพวกเราจะไม่มีวันถอดใจเด็ดขาด ขอให้เชื่อมั่นเอาไว้ ยิ่งได้รับกำลังใจดีๆ แบบนี้ ยิ่งไม่เคยคิดว่าจะถอดใจเลย”
ถึงแม้จะถูกประชาชนบางกลุ่มผลักไสด้วยความไม่เข้าใจ ทำให้เสียกำลังใจไปบ้าง แต่ด้วยเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้แน่วแน่ว่าต้องช่วยเหลือทุกคนให้ได้มากที่สุด ทหารทุกนายจึงพร้อมฮึดสู้เสมอ
“บางทีขับรถผ่าน คนตะโกนด่าเลยว่าทหารไม่ได้เรื่อง ไม่ยอมรับเขาขึ้นไป อยากไปไหนก็ไปเลย เราก็ต้องใจเย็นๆ ทั้งที่ในใจก็นึกโกรธเขาเหมือนกันนะว่าทำไมเขาไม่เข้าใจ ไม่ฟังเราอธิบายเลย แต่ก็บอกเขาไปว่าเดี๋ยวมาครับ ผมขอเข้าไปรับคนป่วยก่อน บางทีเราเข้าไปกั้นแนวเขื่อนเพื่อเปลี่ยนทางน้ำ ชาวบ้านก็ออกมารุมด่าด้วยคำหยาบคาย บอกว่าอย่ามากั้น เดี๋ยวน้ำท่วมบ้านเขา เราก็เลยต้องถอนกำลังออกมา กะว่าค่อยเข้าไปใหม่ตอนตีสี่ ให้เขาหลับก่อน ปรากฏว่าเข้าไปอีกทีเขาไม่ได้หลับ แต่กำลังขนของหนีน้ำกันอยู่ ถึงตอนนั้นแหละเขาถึงเข้าใจ ตอนเช้าคนเดิมที่เคยตะโกนด่านี่แหละพายเรือมาคุยกับเราเลย บอกว่ามันท่วมจริงๆ ด้วย”
และต่อให้ต้องเจอเหตุการณ์โหดร้าย บั่นทอนขวัญกำลังใจของกองทัพขนาดไหน แต่ในเมื่อทุกคนทำเต็มที่แล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดขัดขวางความตั้งใจของพวกเขาได้ อย่างที่ผู้พันยกตัวอย่างให้ฟังว่า “เราจะรู้สึกไม่ดีแค่ตอนที่ช่วยคนไม่ได้แค่นั้น แต่ในเมื่อเรารู้ว่าเราทำสุดความสามารถแล้ว ถึงแม้ไปช่วยแล้วเขาเสียชีวิต เราก็จะไม่เสียใจกับสิ่งที่ทำ การสูญเสียที่เกิดขึ้นอาจทำให้ขวัญเสียไปบ้าง แต่ท้ายที่สุดเหตุการณ์เหล่านี้จะทำให้เราฮึกเหิมและพยายามมากขึ้นไปอีก”
ความยิ่งใหญ่ของพระนเรศวร
“จดเบอร์ติดต่อผมไว้เลยครับ 08… โทร.ได้ตลอด” ผู้พันเบิร์ดตะโกนบอกเบอร์ส่วนตัวกับผู้อพยพน้ำท่วมโดยไม่คิดอิดออด ทั้งยังทวนเลขซ้ำอยู่หลายรอบเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่ผิดพลาด ถ้าเป็นดาราคนอื่นๆ คงไม่แจกเบอร์กันง่ายๆ แบบนี้ ถามว่าไม่หวงแหนความเป็นส่วนตัวบ้างหรือ เจ้าตัวยิ้มขำๆ ก่อนตอบว่า “ไม่ครับ เพราะผมไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นดารา ไม่ใช่ซูเปอร์สตาร์ ผมก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งที่จะให้เบอร์ใครก็ได้ เป็นเรื่องปกติ ยิ่งคนที่กำลังเดือดร้อน ยิ่งต้องให้เขาเลย”
ถึงแม้ผู้พันจะปฏิเสธความเป็นดารา แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความเป็นผู้พันเบิร์ดที่ใครๆ รู้จักในบทพระนเรศวรนั้น สามารถสร้างรอยยิ้มให้แก่ผู้คนที่พบเห็นได้ตลอดทางแม้ในยามวิกฤตเช่นนี้ ตัวเขาเองก็เคยเจอมาแล้วกับตัว ถือเป็นประสบการณ์ที่ช่วยตอกย้ำให้รู้ซึ้งว่าการได้สวมบทเป็นพระนเรศวรนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน
“พอคนอยุธยาเขารู้ว่าเราจะลงไป เขาก็มาคอยต้อนรับ มีหลายคนเลยบอกกับผมว่าไม่ต้องห่วงนะ พวกเขาจิตใจเข้มแข็งอยู่แล้ว เพราะเขาได้เลือดของพระนเรศวรมา (ยิ้มกว้างด้วยความปลาบปลื้ม) เสร็จแล้วก็ถามถึงคนกรุงเทพฯ ว่าเป็นยังไงบ้าง อีกหน่อยก็คงจะท่วมเหมือนกัน บอกกับผมว่าพวกเขาไม่เป็นไรแล้ว ทำใจกันได้แล้ว ให้เอากำลังพลไปช่วยคนกรุงเทพฯ เถอะ ตอนที่พูดเขาก็จับไม้จับมือ กอดกัน แล้วก็ขอบคุณเราใหญ่เลย บอกว่าดีใจมากเลยที่เห็นพวกผมลงไป เพราะเขาก็เป็นลูกพระนเรศวรเหมือนกัน”
ต้องยอมรับว่าบทบาทในภาพยนตร์มีส่วนช่วยเสริมกำลังใจให้ผู้ประสบภัยอย่างมาก เมื่อได้เห็นหน้าผู้พันเบิร์ดก็เหมือนได้รับกำลังใจจากมหากษัตริย์อย่างพระนเรศวร ช่วยให้หลายคนฮึดสู้ขึ้นมาได้อีกครั้ง ถึงแม้ในชีวิตจริง ตัวเขาเองจะไม่เคยเรียกรวมพลทหารมาพูดปลุกใจเหมือนในฉากหนัง แต่ผู้ชายอกผายไหล่ผึ่งคนนี้ก็มีวิธีของตัวเองที่ได้ผลไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย
“ผมคงไม่ได้ไปพูดปลุกใจพลทหารเหมือนในฉากหนังแบบนั้นหรอกครับ (ยิ้ม) เพราะเราก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดพระนเรศวร จะเน้นพูดคุยกันแบบพี่น้องมากกว่า คุยกันไป แนะนำกันไป ทำให้ต่างฝ่ายต่างรู้จักกันมากขึ้น แต่จะว่าไปชีวิตในหนังก็มีส่วนช่วยเสริมชีวิตทหารของผมมากเหมือนกัน ทำให้คนรู้จักเรามากขึ้น พูดคุยกันง่ายขึ้น ทางกองทัพเองก็เห็นศักยภาพส่วนนี้ เห็นว่ากระแสภาพยนตร์มีส่วนช่วยให้งานในกองทัพไหลลื่นมากขึ้น”
“นี่เดี๋ยวผมก็ต้องกลับไปถ่ายทำอีกแล้ว ถามว่าผมทิ้งงานทหาร ทิ้งเรื่องน้ำท่วมไปถ่ายหนังหรือเปล่า ผมอยากให้มองอย่างนี้มากกว่าครับ ระหว่างที่ผมไปถ่ายทำ การช่วยเหลือของกองทัพก็ยังคงดำเนินต่อไปอยู่ ยังเป็นระบบของมัน ถ่ายวันสองวัน ผมก็กลับมาทำหน้าที่ในระบบเหมือนเดิม ผมว่าบทบาทที่ได้รับในหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้คนรักชาติมากขึ้น ช่วยให้อีกหลายคนรู้สึกฮึกเหิม ซึ่งถือเป็นหน้าที่ของทหารอย่างหนึ่ง ทางกองทัพก็เลยเต็มใจจะส่งผมไปทำหน้าที่นี้”
น้ำท่วม “บ้านของเรา”
เห็นผู้พันยังยิ้มร่า ทำงานช่วยเหลือผู้ประสบภัยได้อย่างสบายๆ อย่างนี้ แท้จริงแล้วบ้านที่นนทบุรีก็ท่วมสูงถึงเอวแล้วเหมือนกัน เช่นเดียวกับพลทหารนายอื่นๆ ที่ร่วมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันอยู่ทุกวันนี้
“ตอนนี้กำลังพลเกินกว่าครึ่งในกองทัพ น้ำท่วมบ้านหมดแล้ว แต่ทุกคนก็ออกมาช่วยเหลือกัน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเราได้รับคำสั่งให้เตรียมการเอาไว้ตั้งแต่ต้นแล้วด้วยครับ ผู้บัญชาการทหารบกสั่งการให้ทหารที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงขนของขึ้นที่สูง เพราะฉะนั้นตลอดระยะเวลาต่อจากนี้เราจะต้องไม่ขาดการช่วยเหลือประชาชน เมื่อไหร่ก็ตามที่ถูกเรียกตัว จะต้องไม่มีข้ออ้างว่ากำลังพลขอลาเพื่อไปช่วยบ้านของตัวเอง” ส่วนเหตุผลสำคัญอีกข้อที่ทำให้นายทหารทั้งหลายหมดกังวลเรื่องครอบครัวลงได้ คงเป็นเพราะ “ความเชื่อใจ” ในกันและกันนั่นเอง
“มีอยู่วันหนึ่งผมได้ไปเจอน้องทหารคนหนึ่งนั่งกรอกกระสอบทรายอยู่ที่นครสวรรค์ เข้าไปคุยกับเขา ถามว่าบ้านเขาอยู่ไหน เขาบอกว่าอยู่ที่อยุธยา แล้วที่บ้านน้องใครดูแลล่ะ เขาบอกไม่เป็นไรครับ ผมได้ข่าวแล้วว่ามีหน่วยทหารไปช่วยละแวกบ้านผมแล้ว เพราะฉะนั้นผมก็จะช่วยที่นี่ให้เต็มที่ ให้เหมือนกับที่ทหารทางโน้นเขาช่วยบ้านผม ได้ยินแบบนั้นผมปลื้มใจมาก ตบไหล่เขาเลย บอกดีมากไอ้น้อง เราช่วยที่ไหนก็เหมือนช่วยบ้านเรา ที่โน่นเขาเต็มที่ เราก็ต้องเต็มที่เหมือนกัน”
“พอได้คุยกับพลทหารในวันนั้น ผมก็เลยได้มุมมองใหม่ๆ ขึ้นมา ต่อไปนี้ถ้ามีคนถามผมว่าบ้านน้ำท่วมหรือเปล่า เราจะต้องบอกไปว่าบ้านเราน้ำท่วม เพราะเมืองไทยคือบ้านของเรา ไม่ว่าน้ำจะท่วมบ้านไหน ตำบลไหน ทุกที่คือเมืองไทย ทุกที่คือบ้านเราเหมือนๆ กัน เพราะฉะนั้นไม่ว่าไปลงพื้นที่ที่ไหน เราจะเต็มที่ให้แก่บ้านของเราครับ”
ที่สำคัญ อย่าเพิ่งเอือมระอาพี่น้องคนไทยด้วยกันเอง เพราะวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์รูปแบบใหม่ที่ไม่เคยมีใครพบเจอมาก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าจะมีใครทำผิดพลาดไป อยากให้ “เข้าใจ” และ “ให้อภัย” กันเอาไว้ก่อน
“จะเอาเราไปเปรียบเทียบกับต่างประเทศในตอนนี้คงไม่ได้ เพราะประเทศเขาโดนภัยพิบัติบ่อย ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว พายุ สึนามิ พอเจอบ่อยๆ ประสบการณ์ก็จะสอนเขา เขาฝึกซ้อมมาอย่างดี เจอมากับตัว พอทางการส่งสัญญาณเตือน ทุกคนก็พร้อมจะอพยพกันหมด ไม่อิดออดเหมือนบ้านเรา ซึ่งผมก็เข้าใจว่าเป็นเพราะเราไม่เคยเจอ ไม่คิดว่าน้ำจะเยอะขนาดนี้ ก็เลยยังทู่ซี้อยู่บ้านต่อ แต่พอน้ำมา ทีนี้เราก็รู้แล้วว่าต้องเจออะไรบ้าง ต่อไปครั้งหน้าถ้ามีการเตือนว่าน้ำจะมา เขาจะรู้เองว่าต้องทำยังไง คงต้องให้ประสบการณ์จากครั้งนี้แหละครับเป็นครูสอนทุกคน”
คนตัวเปล่าที่แข็งแรง
ฝ่าน้ำมาจนถึงพื้นที่ที่เครื่องยนต์เกินจะลุยต่อไหว เพราะระดับน้ำสูงมิดล้อกว่าเมตรครึ่ง กองทัพจึงเปลี่ยนพาหนะ ขนเสบียงลงเรือยนต์ เดินเท้าลุยน้ำฝ่าห่าฝนเม็ดใหญ่โดยมีผู้พันเบิร์ดนำทัพ ยิ่งเดินระดับน้ำยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จากเดินได้สบายๆ แค่ระดับเอว ตอนนี้สูงเกือบมิดหัวผู้พันแล้ว วาดภาพไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าไม่มีหน่วยทหารเข้ามาช่วย เด็กและคนชราจะพาตัวเองออกมาจากกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากสายนี้อย่างปลอดภัยได้อย่างไร
มาได้เพียงครึ่งทางก็เจอกับสะพาน หน่วยทหารต้องระดมกำลังถอดเครื่องยนต์เรือ ยกทั้งเรือและเสบียงที่วางเรียงรายอยู่ในนั้นข้ามเครื่องกีดขวางไปยังแหล่งน้ำอีกแห่ง จนกระทั่งถึงบริเวณหน้าหมู่บ้าน ผู้ประสบภัยซึ่งนำทางทหารมาตั้งแต่แรกจึงทำหน้าที่ต่อ ผู้พันพาเรือลำเล็กลำเลียงผ่านรั้วบ้านเพื่อไปรับคนที่ติดอยู่ภายใน เผยให้เห็นสภาพบ้านสองชั้นที่เหลือความสูงให้เห็นเพียงชั้นครึ่ง เพราะชั้นแรกถูกท่วมไปกว่าครึ่งแล้ว คุณลุง คุณป้า ที่ติดอยู่ในบ้านออกมาแสดงตัวต่อเหล่าทหาร ต่างฝ่ายต่างแสดงความห่วงใยและปรับทุกข์กันพักใหญ่ แต่ดูเหมือนคุณลุงยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะอยู่หรือไป ผู้พันจึงช่วยเสนอทางออก
“คุณพ่อจะเฝ้าบ้านก็ได้นะครับ ถ้ายังห่วงของในบ้านอยู่ ผมมีทางเลือกให้ หนึ่งคือย้ายของที่จำเป็นออก ถ้าคุณพ่อสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ มีของกิน ก็โอเคครับ แต่ลูกชายเขาห่วงคุณพ่อด้วย หรืออีกทางเลือกจะไปด้วยกันหมดนี่เลยจะได้ไม่ต้องห่วงกัน ดีไหมครับ”
ท้ายที่สุดก็จบลงที่ทุกฝ่ายพอใจ คุณลุงตัดสินใจทิ้งบ้านและอพยพไปพร้อมกับคุณป้า ลูกชาย รวมทั้งหมาและแมวที่เลี้ยงไว้เพราะความสงสารอีก 10 ตัว “ดีใจมากๆ เลยลูก นี่ถ้าไม่ได้ทหารเราแย่แน่ๆ เลย ขอบคุณมากๆ จริงๆ” คุณป้าจำเลียง รองทอง พูดขอบคุณซ้ำไปซ้ำมาและหลั่งน้ำตาด้วยความตื้นตันใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เสร็จสิ้นอีกหนึ่งภารกิจในวันนี้ เหล่าทหารฝ่ากระแสน้ำกลับสู่เส้นทางเดิมเพื่อส่งผู้ประสบภัย ดูเหมือนว่ารอยยิ้มของผู้พันจะสดใสกว่าตอนนั่งรถขามาเสียอีก คงเป็นเพราะความกังวลใจที่มีก่อนเข้าช่วยเหลือได้หายไปหมดแล้ว นี่ยังถือว่าเป็นภารกิจที่ไม่น่าหนักใจเท่าใดนัก ผู้พันบอกอย่างนั้น เพราะที่ผ่านมามีความสูญเสียมากมายผ่านเข้ามาให้ได้เรียนรู้มากกว่านี้อีกเยอะ
“บางคนเอาชีวิตรอดมาได้อย่างเดียว ไม่มีอะไรติดตัวมาด้วยเลย แม้แต่เงินสักบาท แต่เชื่อไหมว่าคนเหล่านี้คือคนที่มีกำลังใจดีกว่าคนที่หอบของมาเยอะแยะอีกนะ (ยิ้มกว้าง) เพราะว่าเขาปลงได้แล้ว ในเมื่อบ้านเขาท่วมหมด ไม่เหลืออะไร เขาก็มาตัวเปล่า มาอยู่ศูนย์พักพิง เป็นอาสาสมัคร แจกข้าวแจกน้ำ ตัวเขาเองก็รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ท้ายที่สุดคนแบบนี้แหละกลับเป็นคนที่แข็งแรงที่สุด เพราะเขาได้เรียนรู้แล้วว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือชีวิตของคนที่เรารัก แค่ทุกคนอยู่รอดก็พอแล้ว ของอย่างอื่นไม่สำคัญ เราไปทำไปหาเอาดาบหน้าใหม่ได้”
เกลียดคนเห็นแก่ตัว
“สิ่งที่เกลียด : คนเห็นแก่ตัว” คือข้อความที่ประกาศเอาไว้ชัดเจนในประวัติส่วนตัวของผู้พันบนเฟซบุ๊ก ถามว่าคิดอย่างนั้นจริงหรือเปล่า เจ้าตัวหัวเราะนิดๆ และตอบว่า “อ๋อ ใช่ครับ” ผู้สัมภาษณ์คาดคะเนว่าในสถานการณ์เช่นนี้ผู้พันคงได้เจอกับคนประเภทที่ตัวเองเกลียดบ่อยครั้งเลยทีเดียว และคงต้องใช้ความอดทนอย่างมากเพื่อให้ก้าวข้ามผ่านความรู้สึกลบๆ ในใจไปให้ได้
“ถ้าเกิดได้เจอคนเห็นแก่ตัว ผมจะพยายามอดทนและมองข้ามมันไปครับ มองว่าอุปสรรคในการทำงานทุกงานมันมีอยู่แล้ว แต่เป้าหมายที่เราตั้งไว้ เรื่องความเดือดร้อนของประชาชนมันสำคัญกว่าอุปสรรคใดๆ ก็ตามที่เจออยู่ทุกวันนี้ เพราะฉะนั้นเราต้องก้าวข้ามผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปให้ได้ เพื่อให้เดินไปถึงจุดมุ่งหมายที่ตั้งใจไว้”
เพื่อให้เข้ากับหัวข้อที่กำลังสนทนา ทีมงานจึงขอให้ผู้พันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความเห็นแก่ตัวของคนในรูปแบบต่างๆ ที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ และดูเหมือนว่าเขาจะตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมาเกินกว่าที่เราคาดไว้เสียอีก
“สำหรับมิจฉาชีพที่ปล้นบ้านผู้ประสบภัยอยู่ทุกวันนี้ ผมคิดว่าพวกคุณถือว่าเป็นคนที่เลวร้ายมากกว่าคนขายของแพงในปัจจุบันนี้เสียอีก มันคือการปล้นทั้งทางทรัพย์สินและจิตใจด้วย เขาน้ำท่วมอยู่แล้ว คุณยังไปซ้ำเขาอีก ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ว่าคุณจะขโมยเขาตอนไหนก็ตาม ผมว่าคนคนนี้เป็นคนที่มีจิตใจใฝ่ต่ำเท่าๆ กัน คนเหล่านี้สมควรจะได้รับการประณามและลงโทษจากสังคมอย่างสาสมครับ”
ถึงจะตอบแล้วดูโหดไปเสียหน่อย แต่ผู้พันก็ไม่ถึงกับเหมารวมให้ทุกคนกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวในสถานการณ์เช่นนี้ทั้งหมดเสียทีเดียว ยกตัวอย่างกลุ่มชาวบ้านที่ไปพังแนวกั้นน้ำจนส่งผลให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก นักแสดงมาดเข้มรายนี้ยังพร้อมมองด้วยความเข้าใจเสมอ
“ผมไม่มองว่าคนเหล่านี้เห็นแก่ตัว เพราะผมเชื่อว่าถ้าเขาได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง มานั่งคุยกันด้วยเหตุผลจริงๆ คนไทยทุกคนจะเข้าใจทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ที่เห็นว่ายังมีกลุ่มคนพังแนวกระสอบทรายอยู่ อาจเป็นเพราะเขาอยู่ในภาวะตื่นตระหนก ทำให้ห่วงความปลอดภัยของตัวเองมาเป็นอันดับแรก และสนใจเรื่องของตัวเองจนลืมความปลอดภัยของประเทศชาติ แค่นั้นเอง”
“ส่วนคนที่กักตุนสินค้าเอาไว้เยอะๆ ส่วนหนึ่งผมคิดว่าเป็นเพราะความตื่นตระหนก และได้รับข้อมูลไม่เพียงพอ ผมอยากจะเสนอว่าถ้าเกิดคุณยังสามารถออกมาซื้อของด้วยตัวเองได้อยู่ คุณควรจะกักตุนสำหรับตัวคุณเองให้อยู่ได้แค่สามวันก็พอ หมดแล้วค่อยออกมาซื้อใหม่ ไม่จำเป็นต้องซื้อไปทีเดียวให้อยู่ได้เป็นเดือนๆ จะได้เหลือสิ่งของแบ่งปันให้คนอื่นเก็บได้บ้าง ถ้าทุกคนทำแบบนี้ได้ ภาวะสินค้าขาดแคลนก็จะเกิดขึ้นน้อยมาก”
วิกฤตการณ์ในวันนี้เป็นเหมือนบททดสอบรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้น ซึ่งผู้พันเชื่อว่าจะมีบททดสอบรูปแบบอื่นๆ รอจ่อคิวเข้ามาอีกมากมาย เพียงแค่ทุกคนสามัคคีและลดความเห็นแก่ตัวของตัวเองลง สุดท้ายเราจะก้าวข้ามผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างสวยงาม
“ผมเชื่อว่าทุกวันนี้เรากำลังเผชิญกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ไม่ใช่แค่เรื่องน้ำท่วม แต่รวมไปถึงภัยยาเสพติด การก่อการร้าย การตัดไม้ทำลายป่า ฯลฯ ทั้งหมดนี้แตกต่างจากภัยคุกคามรูปแบบเดิมที่เรียกว่าสงคราม ภัยเหล่านี้อยู่ใกล้ตัวเรามากขึ้น จึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่จะต่อสู้กับสงครามรูปแบบใหม่นี้ ประชาชนทุกคนนี่แหละที่เป็นทหารของชาติ ต้องช่วยกันต่อสู้ให้มันห่างออกไป ผมว่าแค่ทุกคนรู้จักหน้าที่และทำให้ดีที่สุด ทุกอย่างก็จะดีเองครับ”
อยู่อย่างมี “ความหวัง”
จะปล่อยให้ทุกอย่างลอยไปกับสายน้ำก็ได้ แต่อย่าให้ “ความหวัง” ลอยหายไปด้วย โดยเฉพาะคนที่คิดว่าตัวเองสูญสิ้นแล้วทุกอย่างจากวิกฤตในครั้งนี้ ผู้พันเบิร์ดอยากให้เตือนตัวเองว่าเรายังโชคดีกว่าคนอื่นอีกไม่รู้กี่ร้อยกี่พันคน
“บางคนเขาเพิ่งเอาเงินทุนทั้งหมดในชีวิต จำนวนเป็นล้านๆ มาลงทุน ทำได้แป๊บเดียว น้ำท่วม ทุกอย่างหายหมดเลย หมดทั้งบ้าน ทั้งโรงงาน หมดทุกอย่าง บางคนโชคร้ายกว่านั้น เสียแม้กระทั่งครอบครัว แต่ถ้าคุณเองก็เป็นคนที่เสียคนที่รักไปเหมือนกัน ผมคงได้แต่เอาใจช่วยให้ทำใจได้ อยากให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาของโลก”
“หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ ผ่านพ้นไป ผมอยากให้ทุกคนอยู่ด้วยความหวังครับ อย่าเพิ่งหมดหวัง ให้มีความหวังอยู่เสมอว่าเราจะได้กลับมายืนหยัดอยู่บนผืนดินที่เป็นบ้านที่เราเคยอยู่อาศัย มีความหวังที่จะกลับมาประกอบอาชีพเหมือนอย่างที่เคยทำ ความหวังแบบนี้แหละจะทำให้ทุกคนมีกำลังใจและกลับมามีความสุขโดยเร็วที่สุด”
มองในแง่ดี วิกฤตครั้งนี้อาจช่วยให้หลายคนสำนึกได้ว่าที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตบนวิถีแห่งความฟุ่มเฟือยแค่ไหน “ที่บางบ้านไม่มีน้ำ ไม่มีไฟใช้ตอนนี้ ถามว่าลำบากไหม เราไม่ได้ลำบากหรอกครับ เพียงแค่เราขาดสิ่งอำนวยความสะดวกเท่านั้นเอง เราเคยชินกับสิ่งอำนวยความสะดวกเสียจนคิดว่ามันคือสิ่งที่จำเป็นต่อชีวิต พอขาดสิ่งเหล่านี้ เราเลยคิดว่าตัวเองลำบาก ทั้งที่จริงๆ แล้วไฟฟ้าไม่ต้องใช้ก็อยู่ได้ แอร์ไม่ต้องเปิดก็อยู่ได้ สิ่งสำคัญที่ชีวิตต้องมีคือปัจจัยสี่แค่นั้นเอง”
หยาดเหงื่อที่ไหลออกมาเมื่อได้ช่วยบรรเทาความทุกข์ของประชาชนทุกวันนี้ ผู้พันบอกว่าพลทหารทั้งหลายไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน ไม่จำเป็นต้องให้ใครมองอย่างสงสารหรือเห็นใจ “เพราะเราเลือกมาแล้วตั้งแต่ต้น เรารู้อยู่แล้วว่าต้องเผชิญกับอะไร เราต้องการเพียงแค่ความเข้าใจในภารกิจที่เราทำเท่านั้นก็พอครับ”
“เราจะขอให้ความเชื่อมั่นแก่ประชาชนว่ากองทัพจะเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้เหนือหัว หลังจะอิงประชาชน เราจะยอมรับความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่และไม่ทิ้งคนส่วนน้อย จะยืนหยัดต่อสู้กับภัยทุกภัยที่จะบั่นทอนซึ่งความเจริญก้าวหน้าของชาติร่วมกับประชาชนทุกคน ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นในศักยภาพของกองทัพ พวกเราพร้อมที่จะทำทุกอย่าง เดินทางไปทุกแห่ง เพื่อจะทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด โดยไม่มีคำว่าถอดใจ เพราะเราคือทหารของประชาชน” ชายชาติทหารประกาศสัตย์ปฏิญาณเอาไว้ชัดเจน
… 6 โมงเย็นวันเสาร์ คุณกำลังทำอะไร? บางครอบครัวอาจกำลังเตรียมมื้อเย็นที่แสนอบอุ่น เช่าดีวีดีมาดูสักเรื่อง หรืออาจใช้ช่วงเวลาเดียวกันนี้ไปอย่างไร้จุดหมาย แต่สำหรับพวกเขา มันคือช่วงเวลาที่รถเหล็กคันเขียวคันเดิมยังคงแล่นไกลออกไปบนเส้นทางที่ล้นทะลักไปด้วยน้ำ ออกไปช่วยเหลือและส่งกำลังใจให้แก่ผู้ประสบภัย เพื่อให้ได้อุ่นใจว่า “คนไทยจะไม่ทิ้งกัน”
---ล้อมกรอบ---
เมียทหารต้องอดทน
ทุกความสำเร็จย่อมมีเบื้องหลังที่ดีช่วยส่งเสริม สำหรับผู้พันเบิร์ดก็เช่นเดียวกัน ที่เห็นว่ายังแข็งแรง อึดฮึดสู้ทุกสถานการณ์ได้ขนาดนี้ เป็นเพราะมีกำลังใจและการดูแลดีๆ จากคู่ชีวิตนั่นเอง
“ทุกวันนี้ผมว่าความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในครอบครัวเป็นไปด้วยความเข้าใจครับ เหมือนเราผ่านเรื่องลำบากมาด้วยกันเยอะ อย่างตอนนี้ที่น้ำท่วมแล้ว แฟนผมเขาก็ไม่ได้หนีไปต่างจังหวัดนะ เพียงแค่ย้ายหมากลับไป ส่วนตัวเขาก็อยู่บ้านเพื่อรอซักเสื้อผ้าให้ผม คอยเป็นห่วงเป็นใย ดูว่าเราเป็นแผลตรงไหนบ้างไหม ติดพลาสเตอร์ยาหรือยังก่อนออกไปลุยน้ำ ทุกวันนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่ห่วงเขานะเวลาไปทำงาน เพียงแต่เรารู้ว่าเขาดูแลตัวเองได้ มันก็เลยทำให้เราทำงานได้เต็มที่”
“ผมออกมาช่วยน้ำท่วมทุกวันแบบนี้ แฟนผมเขาเป็นคนหาซื้อของ เตรียมกระสอบทราย ติดต่อร้านขายวัสดุ เอาช่างมาขนมาทำเองทุกอย่างหมดเลย ท้ายที่สุดพอผมกลับถึงบ้านตอนเย็น หน้าที่กรอกกระสอบทรายถึงเป็นของผม ชีวิตคู่ของเราทุกวันนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจ การให้อภัยซึ่งกันและกัน มีน้ำใจให้กัน ซึ่งผมว่ามันสำคัญมากๆ เลยครับ” สาวๆ ที่อยากมีคู่ครองเป็นทหารอกสามศอกอย่างนี้ ต้องดูเอาไว้เป็นตัวอย่าง
เอาตัวเองให้รอดเป็นพอ
สถานการณ์แบบนี้ ถ้าไม่พึ่งตัวเองก่อนก็ไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้ว เพราะลำพังสัญญาที่ให้ไว้ ยังปรับเปลี่ยนไปเรื่อยตามกระแสน้ำพัด จึงจำเป็นที่ทุกคนต้องมีสติ รู้ว่าควรทำหรือไม่ทำอะไร โดยเฉพาะประชาชนในพื้นที่น้ำท่วม ถ้ารักจะอยู่เฝ้าบ้าน ขอให้รู้เอาไว้ว่า
“ถ้าบ้านคุณมีคนอยู่เยอะ มีคนแก่ มีเด็ก แนะนำให้ย้ายผู้สูงอายุและเด็กไปศูนย์พักพิง เหลือให้ผู้ชายคนหนึ่งเฝ้าบ้านไว้ก็ได้ แต่อย่าอยู่เฝ้าพร้อมกันทั้งบ้าน เพราะจะดูแลยากมากขึ้นไปอีก ถ้าคุณตัดสินใจว่าจะอยู่เฝ้าของที่บ้าน คุณต้องมั่นใจว่าจะสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่เป็นภาระให้แก่คนอื่น เดินทางออกมารับเสบียงได้โดยไม่เป็นอันตราย ผมขอแค่นั้นครับ”
ส่วนคนที่กำลังสองจิตสองใจ อยากหนีน้ำออกนอกกรุงเทพฯ แต่กลัวว่าจะไม่ได้ทำหน้าที่อาสาสมัครช่วยวิกฤตน้ำท่วมในครั้งนี้ ผู้พันฟันธงให้เลยว่า “ออกนอกเมืองไปเลย ดีที่สุดครับ”
“การออกนอกเมืองจะช่วยลดภาระได้ดีที่สุด ส่วนเรื่องอาสาสมัคร ผมอยากให้เป็นหน้าที่ของคนในศูนย์พักพิงมากกว่า เพราะคนในศูนย์ทุกวันนี้มีเยอะอยู่แล้ว พวกเขาจะเป็นกำลังสำคัญ เป็นอาสาสมัครมาช่วยเหลือกลุ่มของเขาเองได้ ยังไงๆ อาสาสมัครก็ไม่มีวันหมดครับ ไม่ต้องห่วง ขอแค่คนเหล่านั้นต้องสร้างกำลังใจให้ตัวเอง ไม่เอาแต่ฝากความหวังไว้ที่คนอื่น สุดท้ายเขาจะรู้สึกว่าตัวเองมีค่าและช่วยเหลือคนอื่นได้อีกเยอะเลย”
บรรดาคนใจบุญทั้งหลายก็ต้องรู้ข้อมูลเหล่านี้เอาไว้ด้วยเหมือนกัน คือถ้าอยากบริจาคสิ่งของหรือช่วยเหลือผู้อื่น ต้องท่องเอาไว้ว่า “อย่างแรกเลยจะต้องไม่ไปเพิ่มภาระหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ อย่างที่สองจะต้องไม่เพิ่มภาระเรื่องการจราจร”
“บางคนอยากจะบริจาคของให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วม ขนของมาเยอะมากเลย มีรถหลายคัน ผลสุดท้ายรถติด คุณจะต้องหาวิธีบริจาคโดยรถไม่ติด จะบริจาคผ่านศูนย์ไหนใกล้ๆ ก็ได้ หรืออาจจะบริจาคเป็นเงินเพื่อเอาไปซื้อของ และถ้าอยากให้สิ่งของบริจาคทั้งหมดส่งถึงมือผู้เดือดร้อนจริงๆ แนะนำให้แบ่งเงินออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งใช้จ่ายในการซื้อของ อีกส่วนแบ่งเอาไว้ใช้ในเรื่องขนส่ง เพราะบางคนซื้อของมาเยอะมาก แต่ไม่รู้จะขนของไปยังไง สุดท้ายก็โทร.มาบอกให้ส่วนกลางเอารถไปขนให้ ซึ่งรถของทหารก็มีอยู่จำกัด ต้องรอคิว สุดท้ายของก็ยังไปไม่ถึงอยู่ดีครับ”
วันวานของเด็กชายเบิร์ด
ที่ผู้พันเป็นผู้พันเบิร์ดได้อย่างทุกวันนี้ มีจุดเริ่มต้นมาจากคุณพ่อเป็นผู้ชักนำ ส่งเสริมให้สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร จนทำให้เด็กชายเบิร์ดค้นพบตัวเองในที่สุด
“ตอนเด็กๆ ผมอยากเป็นสถาปนิกเพราะชอบวาดภาพ แต่พอโตขึ้นมา พ่อผมอยากให้ไปสอบโรงเรียนเตรียมทหาร เพราะคุณพ่อเป็นทหารม้า ไปสอบตอน ม.4 ไม่ติด ติดแค่สำรอง รู้สึกว่าทำไมไม่ได้วะ ก็เลยเริ่มจริงจัง พอมาลองใหม่อีกทีตอน ม.5 ก็ติดครับ พอได้เรียนก็เริ่มรู้สึกว่าอาชีพนี้เป็นอาชีพที่เหมาะกับเราที่สุดแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่เรียบง่ายดี ตอนเรียนก็ได้ทำอะไรท้าทาย ได้ฝึกหนัก ชีวิตมีหลายรสชาติ ยิ่งได้ทำงานยิ่งรู้สึกสนุกเข้าไปอีก รู้สึกว่าสิ่งที่ฝึกที่หัดมาทั้งหมดมันได้ใช้จริง ที่สำคัญพอทำแล้วเห็นผลจริงๆ”
ถามว่าคุณพ่อปลูกฝังความคิดเกี่ยวกับทหารมาตั้งแต่เด็กเลยหรือเปล่า ผู้พันส่ายหน้าและตอบว่า “ไม่เลยครับ ผมว่าพ่อเขาไม่ได้ปลูกฝังเรื่องความเป็นทหารด้วยการสอน แต่เขาจะทำให้ดู ผมว่าแบบอย่างที่ดีน่าจะสำคัญกว่าคำพูดคำสอน คุณพ่อเป็นคนมีระเบียบมาก ทุกวันนี้ถึงท่านจะเกษียณมาสิบกว่าปีแล้ว อายุ 70 กว่า ท่านยังตื่นเป็นเวลาทุกวัน กินข้าว ออกกำลังกายเป็นเวลา ทุกอย่างเป๊ะมาก เลยคิดว่าเราซึมซับเอาเรื่องแบบนี้เข้ามาโดยไม่รู้ตัว” ว่าแล้วผู้พันก็หยิบเอาแง่มุมน่ารักๆ มาเล่าให้ฟัง
“ตั้งแต่ตอนเด็ก เวลาคุณพ่อเรียก สิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือการขานรับ พอพ่อเรียก “เบิร์ด” ผมต้องขานรับทันทีว่า “ครับ” แล้วก็วิ่งไปหาเขา ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่หยุดเรียกเด็ดขาด” ผู้เล่าปิดท้ายด้วยรอยยิ้มกว้างๆ ตามแบบฉบับผู้ชายอบอุ่น
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล : เบิร์ด-วันชนะ สวัสดี
วันเกิด : 26 สิงหาคม 2516
ส่วนสูง : 176 ซม.
น้ำหนัก : 70 กก.
การศึกษา : โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) รุ่นที่ 45 สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ และปริญญาโท คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกริก
ผลงาน : ภาพยนตร์เรื่อง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช”
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย วรวิทย์ พานิชนันท์