ดินอินทรีย์ “สวนบัวนารถ” สูตรผู้เฒ่าไอเดียไม่เกษียณ

แม้ว่าอายุจะล่วงเลยวัยเกษียณราชการไปแล้ว แต่สำหรับ “ไพโรจน์ บัวคลี่” ไม่ต้องการให้ตัวเองไร้ค่าเหี่ยวเฉาไปตามวันเวลา ด้วยการลุกขึ้นมาสร้างอาชีพที่ตัวเองใฝ่ฝันมาตลอดชีวิต คิดค้นสูตรดินเกษตรอินทรีย์คุณสมบัติดีเยี่ยม เป็นที่ยอมรับของลูกค้าอย่างกว้างขวาง สร้างรายได้หลักแสนบาทต่อเดือน

ผู้เฒ่าวัย 65 ปี เล่าชีวิตก่อนจะมาจับอาชีพทำดินอินทรีย์ว่า เคยทำงานอยู่ที่การประปาส่วนภูมิภาค จ.สิงห์บุรี ยาวนานหลายสิบปี ขณะที่ส่วนตัวรักการปลูกต้นไม้มาก มักศึกษาหาความรู้ และซื้อต้นไม้มาปลูกที่บ้านเสมอ กระทั่งเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ตัดสินใจเออรี่รีไทร์ เพื่อจะมายึดอาชีพปลูกต้นไม้ขายอย่างที่เคยฝันมาตลอด

ร้านต้นไม้ของลุงไพโรจน์ อาศัยที่ดินครอบครัว เปิดอยู่ที่ 107 หมู่ 1 ตำบลจักรสีห์ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี ริมถนนเส้นวิ่งระหว่างสิงห์บุรีเข้ากรุงเทพฯ เน้นขายไม้ดอกไม้ประดับสวยงาม

เนื่องจากเป็นคนช่างคิดช่างทำ จึงทดลองผสมดินใช้เองเสมอๆ เมื่อนำไปทดลองปลูก ปรากฏว่า ได้ผลผลิตที่เติบโตสวยงาม จนลูกค้าเกิดความสนใจขอซื้อดินจำนวนมาก จนในที่สุดจากอาชีพขายต้นไม้เปลี่ยนมาขายดินเกษตรแทน ใช้ชื่อว่า ดินเอนกประสงค์ “สวนบัวนารถ”

“ลุงขายต้นไม้มาประมาณ 4-5 ปี โดยคิดค้นทั้งสูตรปุ๋ย สูตรผสมดินใช้เองเรื่อยๆ ลูกค้าที่เห็นต้นไม้ที่ลุงปลูก ก็มักถามว่า ปลูกด้วยดินอะไร ทำไมถึงงามอย่างนี้ ลุงก็บอกว่าเป็นดินคิดเอง ลูกค้าเลยขอซื้อดินไปทดลองปลูกบ้าง หลังจากนั้น ลูกค้าที่ปลูกได้ผลดี ก็จะไปบอกปากต่อปาก ทำให้มียอดขอซื้อดินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนแซงขายต้นไม้ ในที่สุด ลุงเลยหันมาทำดินเกษตรขายอย่างเดียว” ไพโรจน์ เล่า และกล่าวต่อว่า

ไม่เคยเรียนจบด้านการเกษตรโดยตรง ความรู้อาศัยจากตำรา และอาศัยลองผิดลองถูกเอง ใช้เวลาคิดค้นส่วนผสมดินกว่าจะลงตัวนานนับปี โดยมีวัตถุดิบสำคัญ คือ กากชานอ้อย หน้าดินสวน ใบก้ามปู มะพร้าวสับเป็นชิ้น แกลบ มูลวัว มูลค้างคาว และน้ำหมักชีวภาพ เป็นต้น โดยส่วนผสมวัตถุดิบทั้งหมดหาซื้อได้ในท้องถิ่น จ.สิงห์บุรี แล้วนำมาคลุกผสมตามสัดส่วนที่เป็นสูตรเฉพาะ

จุดเด่นของดิน “สวนบัวนารถ” คือ เป็นดินอินทรีย์ 100% ไม่มีภัยต่อสิ่งแวดล้อมและผู้ปลูก สามารถอุ้มเก็บน้ำได้ดี ช่วยให้ง่ายต่อการดูแล โดยไม้ในร่มสามารถเก็บน้ำโดยไม่ต้องรดเพิ่มนานกว่า 7 วัน ส่วนไม้กลางแจ้งเก็บน้ำ ได้ประมาณ 3 วัน เหมาะจะปลูกพืชที่ชอบน้ำมาก โดยเฉพาะ “มะนาว” เมื่อใช้ดินชนิดนี้ จะช่วยให้ได้มะนาวลูกใหญ่และมีน้ำมาก

สำหรับการผลิตนั้น ไพโรจน์ บอกว่า ช่วงแรกๆ จะใช้แรงงานคนทั้งหมด แต่หลังจากที่มีคำสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ได้ขอสินเชื่อ ประมาณ 3 แสนบาทจากธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) เพื่อซื้อเครื่องจักร เช่น เครื่องตักดิน เครื่องผสมดิน และสายพานลำเลียง เป็นต้น รวมถึง แบ่งส่วนหนึ่งเป็นทุนเช่าพื้นที่กว่า 2 ไร่ สำหรับเก็บวัตถุดิบต่างๆ อีกด้วย

ปัจจุบัน มีคนงาน 7 คน กำลังผลิตประมาณ 500 กระสอบต่อวัน ยอดขายประมาณ 12,000 กระสอบต่อเดือน หรือคิดเป็นรายได้เฉลี่ยหลักแสนบาท ช่องทางการขายส่วนใหญ่จะมีร้านขายต้นไม้ทั่วประเทศมารับซื้อเพื่อนำไปขายต่อ โดยราคาขายส่งอยู่ที่กระสอบละ 12 บาท นำไปขายปลีกราคา 16-20 บาทต่อถุง โดยกลุ่มลูกค้าที่นิยมใช้ดินชนิดนี้ แบ่งเป็นอย่างละครึ่งระหว่างคนทั่วไปซื้อไปปลูกต้นไม้ตามบ้าน และชาวไร่ชาวสวนนำไปใช้ปลูกผลผลิต

ไพโรจน์ ทิ้งท้ายว่า ทุกวันนี้ มีความสุขกับอาชีพอย่างยิ่ง เพราะได้ทำสิ่งที่ตัวเองรักในช่วงปั้นปลายชีวิต และสามารถสร้างรายได้ในระดับน่าพึงพอใจ ไม่เพียงแต่เลี้ยงดูตัวเองได้อย่างดีเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นอาชีพที่สามารถเป็นหลักให้แก่ลูกหลานได้ยึดถือต่อไปในอนาคตด้วย

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

โทร.08-6137-8423 , 08-7116-2292