อุตฯผลักดันเสนอร่างแผนส่งเสริมเอสเอ็มอี ฉบับที่ 3 (2555-2559) มุ่งเน้นสร้างเอ็มอีรายใหม่ที่มีศักยภาพตั้งเป้า ปีละ 5 หมื่นคน โดยให้ความสำคัญกับตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น ด้านผอ.สสว.เสนอแผน 4 ประเด็น หนุนสิ่งแวดล้อม ปรับปรุงกฎหมาย การเข้าถึงแหล่งเงินทุน สร้างขีดความสามารถ เชื่อมโยงวัฒนธรรมสร้างมูลค่าเพิ่ม
นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาห กรรม เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ กระทรวงฯได้นำเสนอร่างแผนการส่งเสริมเอสเอ็มอีฉบับที่ 3 (ปี2555-2559) ให้ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยมีนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิจารณา
สำหรับแผนในปีนี้ เน้นสร้างเอสเอ็มอีรายใหม่ที่มีศักยภาพ และจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลให้ได้ไม่น้อยกว่า 2.5 แสนราย หรือปีละ 5 หมื่นคน จากปัจจุบันที่มีอยู่จำนวน 2.9 ล้านราย เพื่อรองรับการแข่งขันที่มีแนวโน้มสูงมาก จากการเปิดเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 โดยในแผนเน้นการกระจายธุรกิจในพื้นที่ต่างจังหวัดให้มากขึ้น จากเดิมส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากถึง 78% ของเอสเอ็มอีทั้งหมด ส่วนกลุ่มที่จะเกิดใหม่นั้นเน้นการพัฒนาให้ทุกธุรกิจนำวัฒนธรรมท้องถิ่น มาเป็นส่วนประกอบ หากสามารถทำได้ตามเป้าคาดว่าประเทศไทยจะมีเอสเอ็มอีที่อยู่ในระบบถึง 3.15 ล้านราย
ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า แผนเอสเอ็มอีฉบับที่ 3 ได้กำหนดยุทธศาสตร์และกลยุทธ์การส่งเสริม 4 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย สนับสนุนปัจจัยแวดล้อมให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจเอสเอ็มอีไทยทั้งปรับปรุงกฎหมายหรือการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน, เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน เน้นการสร้างความได้เปรียบจากเดิมที่อาศัยต้นทุนแรงงานต่ำเพื่อผลิตสินค้าราคาต่ำมาเป็นเสริมผลิตภาพการดำเนินธุรกิจ
นอกจากนี้ยังมี การส่งเสริมให้เอสเอ็มอีเติบโตอย่างสมดุลตามศักยภาพของพื้นที่ โดยการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมมาใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่ม และ การเสริมสร้างศักยภาพของเอสเอ็มอีไทยให้เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเน้นให้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับเอสเอ็มอี โดยเฉพาะข้อตกลงภายหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
“แผนการพัฒนาเอสเอ็มอีของประเทศฉบับนี้ยังไม่พูดถึงจำนวนของงบประมาณ แต่ยอมรับว่าจำเป็นต้องมีการจัดสรรงบประมาณที่เพียงพออย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การพัฒนาเอสเอ็มอีทั้งรายใหม่และรายเก่าทั้งระบบสามารถขับเคลื่อนไดพร้อม ๆ กัน และที่สำคัญสามารถเอาตัวรอดได้หลังจากที่ธุรกิจต่างประเทศเข้ามาทำธุรกิจในไทยมากขึ้นในอนาคต”
นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาห กรรม เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆนี้ กระทรวงฯได้นำเสนอร่างแผนการส่งเสริมเอสเอ็มอีฉบับที่ 3 (ปี2555-2559) ให้ที่ประชุมคณะกรรมการส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยมีนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิจารณา
สำหรับแผนในปีนี้ เน้นสร้างเอสเอ็มอีรายใหม่ที่มีศักยภาพ และจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลให้ได้ไม่น้อยกว่า 2.5 แสนราย หรือปีละ 5 หมื่นคน จากปัจจุบันที่มีอยู่จำนวน 2.9 ล้านราย เพื่อรองรับการแข่งขันที่มีแนวโน้มสูงมาก จากการเปิดเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 โดยในแผนเน้นการกระจายธุรกิจในพื้นที่ต่างจังหวัดให้มากขึ้น จากเดิมส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากถึง 78% ของเอสเอ็มอีทั้งหมด ส่วนกลุ่มที่จะเกิดใหม่นั้นเน้นการพัฒนาให้ทุกธุรกิจนำวัฒนธรรมท้องถิ่น มาเป็นส่วนประกอบ หากสามารถทำได้ตามเป้าคาดว่าประเทศไทยจะมีเอสเอ็มอีที่อยู่ในระบบถึง 3.15 ล้านราย
ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) กล่าวว่า แผนเอสเอ็มอีฉบับที่ 3 ได้กำหนดยุทธศาสตร์และกลยุทธ์การส่งเสริม 4 ประเด็นหลัก ประกอบด้วย สนับสนุนปัจจัยแวดล้อมให้เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจเอสเอ็มอีไทยทั้งปรับปรุงกฎหมายหรือการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุน, เสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน เน้นการสร้างความได้เปรียบจากเดิมที่อาศัยต้นทุนแรงงานต่ำเพื่อผลิตสินค้าราคาต่ำมาเป็นเสริมผลิตภาพการดำเนินธุรกิจ
นอกจากนี้ยังมี การส่งเสริมให้เอสเอ็มอีเติบโตอย่างสมดุลตามศักยภาพของพื้นที่ โดยการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นและวัฒนธรรมมาใช้ในการสร้างมูลค่าเพิ่ม และ การเสริมสร้างศักยภาพของเอสเอ็มอีไทยให้เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศ โดยเน้นให้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับเอสเอ็มอี โดยเฉพาะข้อตกลงภายหลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
“แผนการพัฒนาเอสเอ็มอีของประเทศฉบับนี้ยังไม่พูดถึงจำนวนของงบประมาณ แต่ยอมรับว่าจำเป็นต้องมีการจัดสรรงบประมาณที่เพียงพออย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การพัฒนาเอสเอ็มอีทั้งรายใหม่และรายเก่าทั้งระบบสามารถขับเคลื่อนไดพร้อม ๆ กัน และที่สำคัญสามารถเอาตัวรอดได้หลังจากที่ธุรกิจต่างประเทศเข้ามาทำธุรกิจในไทยมากขึ้นในอนาคต”
