Café de Bear เป็นร้านกาแฟริมรั้วมหาวิทยาลัยอัญสัมชัญ (เอแบค) ที่เกิดจากความท้าทายอยากลองทำสิ่งใหม่ๆ ของนักแสดงสาวนิสิตคณะนิติศาสตร์ อย่าง “ม่วย-นิธิตรา เชาว์พยัคฆ์” นักแสดงสาว โดยสร้างร้านกาแฟในสไตล์อบอุ่นด้วยสัญลักษณ์ “หมี” ที่ใครเห็นเป็นต้องยิ้ม เรียกว่าตั้งแต่แว๊บแรกที่เหลือบเห็นโลโก้หมีหน้าร้าน แล้วเดินเข้าไปด้านในอาจนึกว่านี่มันแกลลอรี่หมีหรืออย่างไร เพราะมองไปทางไหนก็เห็นแต่น้องหมี หมี หมี และหมี อ้อ!! เห็นน้องม่วยด้วย
“สวัสดีค่ะพี่ๆ” เสียงนักแสดงสาวทักทายพร้อมละมือจากการทำกาแฟให้ลูกค้า ที่ล้วนเป็นนักศึกษาเอแบค ซึ่งกำลังห้อมล้อมเธออยู่ในบรรยากาศสบายๆ หมวกอีกใบที่ม่วยสวมอยู่ในฐานะเจ้าของร้านทำให้เรารู้สึกได้จริงๆว่า ภาพที่เห็นเป็นบริการที่มาจากใจจริง ไม่ใช่บทบาทคนขายกาแฟในหมวกของนักแสดง สังเกตได้จากรอยยิ้มและการพูดคุยกับลูกค้าทุกคนอย่างเป็นกันเอง จนลืมไปว่าเธอคือนักแสดง
“เชื่อไหมเมื่อก่อนม่วยชงโอวัลตินกินเองยังไม่เป็นเลย ทำกับข้าวก็ไม่ได้ แต่นี่ต้องมาชงกาแฟขาย” นักแสดงสาว บอกพร้อมกับเครื่องหมายคำถามแบบงงๆ เกิดขึ้นมาในหัวของสนทนา ว่าแล้วธุรกิจที่เธอลงทุนไป 3 แสนบาทเนี่ยจะไปรอดไหม จากนั้นเราได้พูดคุยกันมากขึ้น จนได้คำตอบมามากมายที่สามารถการันตีได้ว่า นี่ไม่ใช่การเล่นขายของแบบเด็กๆ
ม่วย เล่าว่า ชื่นชอบตุ๊กตาหมีมากจนถึงมากที่สุด แต่ไม่ใช่คนที่คลั่งไคล้กาแฟ ส่วนเพื่อนอีกคนที่เป็นหุ้นส่วนชื่นชอบการดื่มชา ซึ่งต่างก็ไม่ใช่คอกาแฟซะทีเดียว จึงต้องปรับตัวเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้เพื่อนำมาใช้กับธุรกิจที่ทำ จริงอยู่ที่รายได้จากงานแสดงนั้นสูงและได้ง่ายกว่า แต่สำหรับธุรกิจร้านกาแฟก็เป็นสิ่งใหม่ที่เธออยากลองทำ และวัดผลว่าทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน
นักแสดงสาวยอมรับสารภาพว่า ก่อนลงมือลงแรงจริงๆ นั้นเธอคิดว่า ทำธุรกิจขอแค่มีเงินทุนอย่างเดียวก็พอแล้ว แต่หลังจากได้ลงมาสัมผัสการทำธุรกิจของจริงแล้ว ทัศนคติในเรื่องนี้ของเธอก็เปลี่ยนไป
“ตอนแรกคิดว่าทำธุรกิจมันง่ายก็แค่เอาเงินไปลงทุน แต่พอได้ลงมือทำ เริ่มคิดโลโก้เริ่มหาวัตถุดิบก็รู้ว่าต้องทุ่มเทและจริงจังมากกว่านั้น เพราะรู้สึกว่าสิ่งนี้จะเป็นของเราแล้วนะ ม่วยก็ไปเรียนทำกาแฟอย่างจริงจังด้วย มันคือเงินและแรงที่เราลงไปทั้งหมด” ม่วยเล่าถึงความรู้สึกตอนเริ่มต้นธุรกิจ
ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างที่เห็นจึงไม่แปลกใจเลยว่า กาแฟแต่ละแก้วที่เธอชงเองกับมือบวกใจที่ใส่ลงไปนั้น จะเป็นกาแฟที่ถูกปาก ถูกใจ ขาประจำ Café de Bear ที่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนมานั่งแฮงค์เอาท์แบบชิวๆตลอดทั้งวัน
และเมื่อถามถึงร้านกาแฟคู่แข่งที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร อย่างทรูคอฟฟี่ที่ได้เปรียบทั้งชื่อแบรนด์และความเก๋า นักธุรกิจสาววัยยี่สิบต้นๆ ตอบว่า กลยุทธที่ใช้เป็นในเรื่องของราคา Café de Bear จะมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่แก้วละ 25 บาทขึ้นไป นอกจากนี้ภายในร้านยังมีบริการให้ลูกค้าสามารถใช้คอมพิวเตอร์พร้อมอินเทอร์เน็ต หรือใครที่มีโน๊ตบุ๊คส่วนตัวก็มาใช้ Wi-Fi ได้ฟรี
จากราคาสบายกระเป๋าพร้อมบริการแบบสบายใจ จึงไม่ยากเลยที่จะดึงดูดใจให้คอกาแฟในย่านเอแบคและรามคำแหงเดินเข้ามาใช้บริการ Café de Bear แบบไม่ขาดสาย บางคนก็แวะมาทักทายพูดคุย และใช้สถานที่แห่งนี้เป็นเสมือนจุดนัดพบเพื่อนฝูง
“ตอนเป็นนักแสดงเวลาไปกองถ่ายเราก็เสมือนเป็นลูกค้า คือทุกคนจะมาเทคแคร์ดูแล ถามไถ่เราตลอดว่าอยากได้อะไร พอเราเปลี่ยนสถานะจากตรงนั้นเมื่อมาอยู่ที่ร้านเราเองก็เป็นหน้าที่ที่ต้องเดินเข้าไปหาลูกค้า คอยสอบถามเขาว่า รับอะไรอีกไหม อร่อยไหม ชอบไหม ทำให้เราเข้าใจพี่ๆ ที่เขาดูแลเรา เข้าใจคนที่ให้บริการ บางครั้งก็แอบเหนื่อยแต่ก็ต้องยิ้มรับตลอดเวลา” ม่วยเล่าสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการลงมือบริหารธุรกิจ
เกณฑ์วัดความสำเร็จของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน นับแต่วันแรกที่เปิดร้านถึงวันนี้ จากกระแสตอบรับที่ได้บวกกับบทเรียนที่หาไม่ได้ในห้องเรียนที่ม่วยได้รับ ก็นับว่าเธอประสบความสำเร็จในขั้นที่หนึ่งแล้ว ส่วนขั้นที่สองกับการขยายธุรกิจนั้นคงไม่ยากเกินไปหากเธอยังคงจริงจังและตั้งใจเช่นนี้
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
****ข้อมูลจาก www.smethailandclub.com****