บสย.เผยยอดการขอค้ำประกันสินเชื่อเพิ่ม ล่าสุดเดือนตุลาคม 9,200 ล้านบาท ลูกค้า 3,000 ราย ชี้อุตฯ เหล็ก, โลหะเครื่องจักร และอาหารเครื่องดื่ม พร้อมขยายวงเงินค้ำประกันจากรายละ 20 ล้านบาท เป็น 40 ล้านบาท ยกเว้นค่าธรรมเนียมปีแรกแม้จะขาดทุนกว่า 500 ล้านบาท แต่มั่นใจทำงานเชิงรุกช่วยเอสเอ็มอีฟื้นธุรกิจได้ผล
นายพิชิต อัคราทิตย์ ประธานกรรมการ บริษัท ประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ ครม. มีมติตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งสนับสนุนการค้ำประกันสินเชื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมากขึ้น ส่งผลให้ยอดการขอค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. เพิ่มขึ้นอย่างมาก ล่าสุดวันที่ 30 ต.ค. มียอดอยู่ที่ 9,200 ล้านบาท จากลูกค้าเกือบ 3,000 ราย ก่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นในระบบรวมทั้งสิ้น 94,000 ราย โดยธุรกิจที่ บสย.ให้การค้ำประกันสูงสุด คือ อุตสาหกรรมเหล็ก ผลิตโลหะเครื่องจักร ประเภทอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงผลิตสินค้าและอื่น ๆ
ทั้งนี้ จากการขยายวงเงินค้ำประกันจากรายละ 20 ล้านบาท เป็น 40 ล้านบาท การยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ำประกันปีแรก การขยายภาคธุรกิจให้ครอบคลุมทั้งหมดโดยไม่มีข้อจำกัด และให้ค้ำประกันต่อเนื่องหลังสิ้นสุดปีที่ 5 ตามเงื่อนไขเดิมแล้วก็ตาม ทำให้ลูกค้ากล้าเข้ามาขอให้ บสย. ค้ำประกันสินเชื่อเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด จากช่วงแรกที่ดำเนินโครงการเดือน มี.ค., เม.ย. มียอดสินเชื่อไม่กระเตื้องเลย หรือเฉลี่ยเดือนละ 150 ล้านบาท แต่ขณะนี้อยู่ที่เดือนละ 2,500 ล้านบาท และเชื่อว่าสินปีนี้ น่าจะทำได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ 30,000 ล้านบาท
“แม้ว่าการยกเว้นค่าธรรมเนียมปีแรก ทำให้ บสย. สูญเสียรายได้ไป 525 ล้านบาท และทำให้การค้ำประกันสินโดยรวมทั้งหมด เชื่ออาจลดลงมาเหลือ 23,500 ล้านบาทเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกินภาระความเสี่ยง ที่กระทรวงการคลังชดเชยให้เบื้องต้น 2,000 ล้านบาท โดยจากการค้ำประกันความเสี่ยงนั้นจะไม่เกินที่กำหนดในสัญญาร้อยละ 15.5 ของยอดอนุมัติอยู่แล้ว และจะขอชดเชยส่วนที่ขาดไป จากนั้นจะขยายวงเงินค้ำประกันสินเชื่อต่อไป” นายพิชิต กล่าว
นายวิชิต กล่าวว่า นอกจากนี้ บสย. ยังปรับตัวทำงานเชิงรุกมากขึ้น ในการเข้าหาลูกค้า ทั้งการเปิดคลินิกค้ำประกันสินเชื่อในต่างจังหวัด ที่จะขยายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และการเปิดศูนย์ช่วยเหลือเอสเอ็มอี เพื่อให้คำปรึกษากับลูกค้าที่ต้องการขอสินเชื่อ ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าได้ผลเป็นอย่างดี
นายพิชิต อัคราทิตย์ ประธานกรรมการ บริษัท ประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ ครม. มีมติตั้งแต่ต้นเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งสนับสนุนการค้ำประกันสินเชื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมากขึ้น ส่งผลให้ยอดการขอค้ำประกันสินเชื่อของ บสย. เพิ่มขึ้นอย่างมาก ล่าสุดวันที่ 30 ต.ค. มียอดอยู่ที่ 9,200 ล้านบาท จากลูกค้าเกือบ 3,000 ราย ก่อให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นในระบบรวมทั้งสิ้น 94,000 ราย โดยธุรกิจที่ บสย.ให้การค้ำประกันสูงสุด คือ อุตสาหกรรมเหล็ก ผลิตโลหะเครื่องจักร ประเภทอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงผลิตสินค้าและอื่น ๆ
ทั้งนี้ จากการขยายวงเงินค้ำประกันจากรายละ 20 ล้านบาท เป็น 40 ล้านบาท การยกเว้นค่าธรรมเนียมค้ำประกันปีแรก การขยายภาคธุรกิจให้ครอบคลุมทั้งหมดโดยไม่มีข้อจำกัด และให้ค้ำประกันต่อเนื่องหลังสิ้นสุดปีที่ 5 ตามเงื่อนไขเดิมแล้วก็ตาม ทำให้ลูกค้ากล้าเข้ามาขอให้ บสย. ค้ำประกันสินเชื่อเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด จากช่วงแรกที่ดำเนินโครงการเดือน มี.ค., เม.ย. มียอดสินเชื่อไม่กระเตื้องเลย หรือเฉลี่ยเดือนละ 150 ล้านบาท แต่ขณะนี้อยู่ที่เดือนละ 2,500 ล้านบาท และเชื่อว่าสินปีนี้ น่าจะทำได้ใกล้เคียงกับเป้าหมายที่วางไว้ 30,000 ล้านบาท
“แม้ว่าการยกเว้นค่าธรรมเนียมปีแรก ทำให้ บสย. สูญเสียรายได้ไป 525 ล้านบาท และทำให้การค้ำประกันสินโดยรวมทั้งหมด เชื่ออาจลดลงมาเหลือ 23,500 ล้านบาทเท่านั้น เพื่อไม่ให้เกินภาระความเสี่ยง ที่กระทรวงการคลังชดเชยให้เบื้องต้น 2,000 ล้านบาท โดยจากการค้ำประกันความเสี่ยงนั้นจะไม่เกินที่กำหนดในสัญญาร้อยละ 15.5 ของยอดอนุมัติอยู่แล้ว และจะขอชดเชยส่วนที่ขาดไป จากนั้นจะขยายวงเงินค้ำประกันสินเชื่อต่อไป” นายพิชิต กล่าว
นายวิชิต กล่าวว่า นอกจากนี้ บสย. ยังปรับตัวทำงานเชิงรุกมากขึ้น ในการเข้าหาลูกค้า ทั้งการเปิดคลินิกค้ำประกันสินเชื่อในต่างจังหวัด ที่จะขยายให้ครอบคลุมทั่วประเทศ และการเปิดศูนย์ช่วยเหลือเอสเอ็มอี เพื่อให้คำปรึกษากับลูกค้าที่ต้องการขอสินเชื่อ ซึ่งที่ผ่านมาถือว่าได้ผลเป็นอย่างดี
