การที่รัฐบาลพยายามผลักดันธุรกิจอาหารไทยให้เป็นที่รู้จักทั้งในและต่างประเทศนั้น วิธีการเริ่มต้นที่จะทำให้คนไทยเชื่อถือและยอมรับในรสชาติและฝีมือ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการขายแฟรนไชส์น่าจะเป็นวิธีที่ทำให้ลูกค้ารู้จักแบรนด์ได้เร็วขึ้น ดังนั้นคงไม่แปลกใจ ที่กระทรวงอุตสาหกรรมผลักดันธุรกิจแฟรนไชส์อย่างสุดตัว พร้อมช่วยโปรโมต และเซ็นลงนามสัญญาร่วมกันที่จะดันธุรกิจอาหารไทยสู่การขยายแฟรนไชส์กว่าพันสาขาทั่วประเทศ
ล่าสุดได้จับมือกับบริษัท บริษัท ที เอส เอ็น เวิลด์ซัพพลาย จำกัด แฟรนไชส์ขาหมูเจ้าสัว และอูเอโนะ ราเมน ของ 3 หุ้นส่วน คือ นายธีรยุทธ ทุมมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร / CEO , นายสมชาย รัตนภูมิภิญโญ และนายนิกร เลาหพงษ์ชนะ กรรมการบริหาร ที่อาศัยความคุ้นเคยในแวดวงการเมืองของนายนิกร นำขาหมูของบริษัทหนึ่งมาให้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายชาญชัย ชัยรุ่งเรือง ได้ลองรับประทาน ก็ติดใจในรสชาติ และวัตถุดิบที่เลือกสรรมาแป็นอย่างดี จึงแนะนำให้ต่อยอดทำเป็นธุรกิจอย่างจริงจัง พร้อมปรับสูตรในเรื่องของรสชาติเล็กน้อย สู่สูตรชาววัง ที่จะเน้นไปที่ความหวานของขาหมูเล็กน้อย สุดท้ายจึงลงตัวที่ธุรกิจขาหมูเจ้าสัวและอูเอโนะ ราเมน พร้อมขยายแฟรนไชส์ทั่วกรุงเทพฯ รวม 5,000 สาขา
นายธีรยุทธ เล่าว่า แต่เดิมหุ้นส่วนของบริษัทได้ดำเนินธุรกิจโรงานผลิตแป้งเกล็ดขนมปัง ซึ่งธุรกิจก็ไปได้ดี แต่ธีรยุทธ กลับคิดว่าตนเองต้องสร้างธุรกิจ เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกงาน โดยมองไปที่อาชีพรถเข็นขายอาหารที่คนไทยคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี จนกระทั่งนายนิกร ได้ไปรู้จักกับโรงงานที่ผลิตขาหมู ที่บรรจุลงในถุงสุญญากาศที่ได้มาตรฐาน และสามารถเก็บไว้ได้นาน รวมถึงรสชาติ และวัตถุดิบที่เลือกนำมาใช้ก็มีคุณภาพดี จึงคิดนำมาต่อยอดให้คนมีอาชีพ เพิ่มรายได้
“หลังจากที่ผมคิดหาอาชีพที่ลงทุนไม่สูงนักให้กับคนตกงาน หรือมีรายได้ไม่พอเลี้ยงครอบครัว ซึ่งธุรกิจรถเข็นน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ซึ่งอาหารที่นำมาขายในแต่ละวันจะต้องลดความยุ่งยากให้กับเจ้าของธุรกิจได้ ซึ่งหลังจากที่คุณนิกรได้นำขาหมูของบริษัทหนึ่งมาให้ลองรับประทานปรากฏว่ามีรสชาติอร่อย และเชื่อว่าจะต้องถูกปากคนไทยอย่างแน่นอน รวมทั้งยังสามารถต่อยอดสู่ระบบแฟรนไชส์ได้ เพราะเป็นขาหมูที่บรรจุอยู่ในถุงสุญญากาศที่เก็บไว้ได้นาน 365 วัน โดยไม่ต้องแช่เย็น พร้อมน้ำจิ้ม ไม่ใส่สารกันบูดและผงชูรส เหมาะสำหรับงานเลี้ยงต่างๆ เป็นของฝากในงานพิธีและเทศกาลสำคัญต่างๆ เพราะง่ายต่อการจัดเก็บ และพกพาสะดวก”
เมื่อแนวคิดดังกล่าวเริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้น นายนิกร ก็ได้นำขาหมูไปให้ รมว.ชาญชัย ชัยรุ่งเรือง ชิมก็ถูกใจ พร้อมปิ๊งไอเดียสร้างมาตรฐานให้กับร้านขาหมูเจ้าสัว ด้วยการร่วมมือกับสถาบันอาหารช่วยผลักดันเรื่องมาตรฐานและการขยายสาขา ช่วยเหลือคนตกงาน ด้วยแฟรนไชส์ “ข้าวขาหมูเจ้าสัว” และ “อูเอโนะ ราเมน” ที่มีรสชาติถูกปากคนไทยไม่แพ้กัน
“การที่เรานำร่องด้วยข้าวขาหมู และราเมน เพราะเป็นอาหารที่คนไทยรู้จักดี ซึ่งจากการคำนวณขาหมู 1 ขา สามารถขายได้ประมาณ 20 จาน ซึ่ง 1 สาขาจะใช้ขาหมูประมาณ 4 ขา/วัน โดยในช่วงเริ่มต้นทางบริษัทฯ จะขยายสาขา โดยตั้งเป้าภายในปี 2552 รวม 30-50 สาขา เพื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักทั่วกรุงเทพฯ และวางแผนขยายสาขาในรูปแบบแฟรนไชส์ทั้ง 2 แบรนด์ เฉพาะในกรุงเทพฯ ภายใน 3 ปี ซึ่งปี 2553 จำนวน 2,000 สาขา และปี 2554 จำนวน 5,000 สาขา ที่นอกจากจะขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์แล้วยังเน้นไปที่ตัวแทนขายส่งตามเขตต่างๆ ทั่วกรุงด้วย”
ทั้งนี้การลงทุนในรูปแบบแฟรนไชส์อยู่ที่ 35,000 บาท พร้อมอุปกรณ์ครบครัน โดยเป็นการซื้อแฟรนไชส์เพียงครั้งเดียว ไม่เก็บค่าโฆษณา และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทั้ง 2 แฟรนไชส์ ซึ่งผู้ซื้อแฟรนไชส์จะได้รับการฝึกอบรมภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ
โดยในอนาคตทางแฟรนไชส์ขาหมูเจ้าสัว และอูเอโนะ ราเมน จะขยายตลาดออกสู่ต่างประเทศแต่เน้นไปที่การส่งวัตถุดิบ เช่น ขาหมูในถุงสุญญากาศให้กับผู้บริโภคโดยตรง ในประเทศแถบยุโรปและอเมริกา เพื่อให้ชาวต่างชาตินำไปรับประทานกับขนมปัง หรือการส่งออกไปยังประเทศจีน สำหรับรับประทานกับหมั่นโถว ในขณะที่อูเอโนะ ราเมน จะส่งออกไปเป็นน้ำซุปที่เป็นหัวเชื้อ เพื่อนำไปผสมกับน้ำตามสัดส่วน โดยเฉพาะซุปรสต้มยำกุ้งที่ต่างชาติรู้จักเป็นอย่างดี
***สนใจติดต่อ 0-2249-4831***