กสอ.ของบไทยเข้มแข็ง 4,000 ลบ. ชงโครงการเด่น พี่เลี้ยงช่วยลดต้นทุนสูญเปล่าของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และพัฒนาธุรกิจตู้อัตโนมัติ ขณะที่แผนงานในปี 53 ชูยุทธศาสตร์นำนวัตกรรมสู่การปฎิบัติ
นายปราโมทย์ วิทยาสุข อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงาน “ประเทศไทยสดใส ผู้ประกอบการไทยช่วยชาติ” ว่า กสอ.ได้เสนอของบประมาณจากงบไทยเข้มแข็ง ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินการหลายโครงการ โดยเฉพาะโครงการที่เน้นเป็นพิเศษ คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจรับเหมาก่อสร้างรายเล็กๆ อย่างเอสเอ็มอี ที่ทั่วประเทศมีกว่า 5,000 ราย และรายย่อยอีกจำนวนมาก ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลพบว่า ที่ผ่านมาในการทำงานของผู้ประกอบการเหล่านี้ จะเกิดต้นทุนสูญเปล่ากว่า 30-40% จากสาเหตุทั้งการบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพ ระบบเก็บสต๊อก ฝีมือช่าง สิ้นเปลืองวัตถุดิบฯลฯ ดังนั้น กสอ.ได้เสนอโครงการที่จะเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงให้ผู้ประกอบการรับเหลาก่อสร้างเหล่านี้ เพื่อช่วยลดต้นทุนสูญเปล่า ซึ่งจะเท่ากับสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ อีกโครงการเด่นจะเป็นการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ แบบตู้หยอดเหรียญให้มีระบบที่สะดวกสบายมากขึ้น เช่น สามารถรับธนบัตรได้ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศ รวมถึง กสอ. มองว่าธุรกิจนี้มีอนาคตสดใส และสามารถสร้างงานกระจายไปสู่ส่วนภูมิภาคได้มาก
นายปราโมทย์ เผยอีกว่า สำหรับงบประมาณประจำปี 2553 ของ กสอ.ได้รับมาประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะใช้ดำเนินงานสานต่อยุทธศาสตร์ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยสร้างนวัตกรรมของตัวเอง ซึ่งนวัตกรรมในความหมายของ กสอ. คือ การพัฒนาและเปลี่ยนแปลงปรุงปรุงตัวเองเสมอและในปีหน้า (2553) จะเพิ่มเติมโดยเน้นให้นำนวัตกรรมไปสู่การปฎิบัติจริง ผ่านการส่งเสริมในโครงการต่างๆ เช่น สร้างผู้ประกอบการใหม่ , โครงการลดต้นทุน และพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต เป็นต้น โดยจะทำต่อเนื่องไปอีก 3 ปีข้างหน้า
“ยุทธศาสตร์ของกรมฯ ที่จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการคิดสร้างนวัตกรรมไปสู่การปฏิบัติ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมด้านครีเอทีพ ไทยแลนด์ หรือธุรกิจเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาตัวเองอยู่เสมอจะช่วยผลักดันให้ธุรกิจของเขาอยู่รอดในวิกฤตได้” อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมกล่าว
ทั้งนี้ เพื่อนำเสนอผลงานของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีผลงานโดดเด่นให้เป็นต้นแบบแก่ผู้ประกอบการรายอื่นๆ กรมฯได้จัด“ประเทศไทยสดใส ผู้ประกอบการไทยช่วยชาติ” ระหว่างวันที่ 17-18 กันยายน นี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
นายปราโมทย์ วิทยาสุข อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดงาน “ประเทศไทยสดใส ผู้ประกอบการไทยช่วยชาติ” ว่า กสอ.ได้เสนอของบประมาณจากงบไทยเข้มแข็ง ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินการหลายโครงการ โดยเฉพาะโครงการที่เน้นเป็นพิเศษ คือ การพัฒนาอุตสาหกรรมและธุรกิจรับเหมาก่อสร้างรายเล็กๆ อย่างเอสเอ็มอี ที่ทั่วประเทศมีกว่า 5,000 ราย และรายย่อยอีกจำนวนมาก ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลพบว่า ที่ผ่านมาในการทำงานของผู้ประกอบการเหล่านี้ จะเกิดต้นทุนสูญเปล่ากว่า 30-40% จากสาเหตุทั้งการบริหารจัดการที่ขาดประสิทธิภาพ ระบบเก็บสต๊อก ฝีมือช่าง สิ้นเปลืองวัตถุดิบฯลฯ ดังนั้น กสอ.ได้เสนอโครงการที่จะเข้าไปเป็นพี่เลี้ยงให้ผู้ประกอบการรับเหลาก่อสร้างเหล่านี้ เพื่อช่วยลดต้นทุนสูญเปล่า ซึ่งจะเท่ากับสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ อีกโครงการเด่นจะเป็นการสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเครื่องขายสินค้าอัตโนมัติ แบบตู้หยอดเหรียญให้มีระบบที่สะดวกสบายมากขึ้น เช่น สามารถรับธนบัตรได้ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยลดการนำเข้าเครื่องจักรจากต่างประเทศ รวมถึง กสอ. มองว่าธุรกิจนี้มีอนาคตสดใส และสามารถสร้างงานกระจายไปสู่ส่วนภูมิภาคได้มาก
นายปราโมทย์ เผยอีกว่า สำหรับงบประมาณประจำปี 2553 ของ กสอ.ได้รับมาประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะใช้ดำเนินงานสานต่อยุทธศาสตร์ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยสร้างนวัตกรรมของตัวเอง ซึ่งนวัตกรรมในความหมายของ กสอ. คือ การพัฒนาและเปลี่ยนแปลงปรุงปรุงตัวเองเสมอและในปีหน้า (2553) จะเพิ่มเติมโดยเน้นให้นำนวัตกรรมไปสู่การปฎิบัติจริง ผ่านการส่งเสริมในโครงการต่างๆ เช่น สร้างผู้ประกอบการใหม่ , โครงการลดต้นทุน และพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต เป็นต้น โดยจะทำต่อเนื่องไปอีก 3 ปีข้างหน้า
“ยุทธศาสตร์ของกรมฯ ที่จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการคิดสร้างนวัตกรรมไปสู่การปฏิบัติ สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ส่งเสริมด้านครีเอทีพ ไทยแลนด์ หรือธุรกิจเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการไทยพัฒนาตัวเองอยู่เสมอจะช่วยผลักดันให้ธุรกิจของเขาอยู่รอดในวิกฤตได้” อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมกล่าว
ทั้งนี้ เพื่อนำเสนอผลงานของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่มีผลงานโดดเด่นให้เป็นต้นแบบแก่ผู้ประกอบการรายอื่นๆ กรมฯได้จัด“ประเทศไทยสดใส ผู้ประกอบการไทยช่วยชาติ” ระหว่างวันที่ 17-18 กันยายน นี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
