จากผู้ที่คลุกคลีอยู่ในธุรกิจยางฟองน้ำแผ่น และท่อยางผลิตเพื่อป้อนให้กับโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่นำไปเป็นชิ้นส่วนต่างๆ พร้อมเล็งเห็นศักยภาพยางฟองน้ำ ที่หากนำมาเพิ่มมูลค่าด้วยการสีสัน และดีไซน์ น่าจะแตกไลน์เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจให้กับผู้บริโภคได้
ด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวของยางฟองน้ำที่เป็นวัสดุที่มีความนุ่ม ปลอดภัยไม่มีสารพิษ ทำให้แนวคิดที่จะต่อยอดสู่ของเล่นเด็ก จึงไม่ใช่เรื่องยาก จากวัตถุดิบที่เอื้อต่อการนำมาสิ่งของที่เน้นความนิ่ม “พัชนี คลังเปรมจิตต์” หุ้นส่วนผู้จัดการ ของห้างหุ้นส่วนจำกัด เอ็ม แอนด์ พี เวิลด์ แอ็ดโซซิเอ็ท เล่าว่า ธุรกิจนี้เริ่มมาการผลิตชิ้นสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมเป็นยางฟองน้ำ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นสีดำ แต่จากความนิ่มของสินค้า จึงคิดนำมาทำเป็นของเล่นเด็ก จากยางฟองน้ำ หวังให้เด็กได้ฝึกทักษะจากการเล่นกีฬา ภายใต้แบรนด์ SafSof (เซฟซอฟ) รวมถึงผลิตอุปกรณ์ออกกำลังกายแบรนด์ SafSport (เซฟสปอร์ต) ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2525 ที่เป็นธุรกิจส่งออกเกือบ 100%
“เมื่อเราได้เห็นศักยภาพของยางฟองน้ำ จึงคิดนำมาทำเป็นของเล่นเด็ก ที่ส่วนใหญ่จะเน้นความนิ่มไม่เป็นอันตรายต่อเด็ก ซึ่งเราก็ได้ออกแบบเป็นอุปกรณ์กีฬาที่ไม่ได้เน้นการเล่นคนเดียว เพื่อต้องการสร้างโอกาสให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน และครอบครัวมากขึ้น แทนการนำเวลาไปเล่นเกมคอมพิเตอร์ พร้อมกับการได้พัฒนากล้ามเนื้อ และฝึกทักษะให้กับเด็กพ่วงความเพลิดเพลินได้เป็นอย่างดี เช่น เบสบอล โบว์ลิ่ง สกี และโยนห่วงเป็นต้น เหมาะสำหรับเด็กอายุ 3-12 ปี”
สำหรับจุดเด่นของ Safsof เรียกได้ว่าส่วนใหญ่อยู่วัสดุที่นำมาใช้ คือ ยางฟองน้ำคุณภาพสูง ปราศจากสารพิษ ซึ่งได้รับการตรวจสอบมาตรฐานสินค้าที่เข้าจากกลุ่มประเทศยุโรป ที่ไว้วางใจให้ Safsof เป็นของเล่นเชิงกิจกรรม และฝึกทักษะให้แก่เด็ก มานานกว่า 25 ปี
ปัจจุบันเรียกได้ว่าสินค้าประเภทของเล่นเด็กแบรนด์ SafSof เป็นธุรกิจอันดับต้นๆ ของไทย ที่ผลิตของเล่นเด็กจากยางฟองน้ำ ที่มีสินค้ากว่า 300 รายการ ซึ่งคู่แข่งหลักคือประเทศจีน ที่ผลิตของเล่นประเภทนี้ออกมาเช่นกัน แต่ในเรื่องของคุณภาพยังเทียบกันไม่ได้ การที่มีผู้ผลิตสินค้าในลักษณะนี้ไม่กี่รายในโลก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีขั้นตอนการผลิตค่อนข้างยุ่งยาก ต้องใช้แรงงานจำนวนมากในการเก็บรายละเอียดต่างๆ กับของเล่นทีละชิ้น พร้อมกับสินค้ายังเจาะกลุ่มเฉพาะที่เป็นเด็กอีกด้วย
“ตลาดหลักที่สำคัญของ SafSof อยู่ที่ประเทศในแถบยุโรปประมาณ 40-50% และออสเตรเลียประมาณ 20-30% ส่วนในประเทศไทยจะเน้นไปที่การเจาะกลุ่มลูกค้าในโรงเรียนนานาชาติ ส่งผลให้มียอดส่งออกประมาณ 120 ล้านบาท/ปี และคาดว่ายอดส่งออกภายในปีนี้ (2552) จะสูงถึง 150 ล้านบาท สวนกระแสวิกฤตเศรษฐกิจ จากการปรับดูเพื่อสอดรับกับเทรนด์การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม"
การที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ที่มียอดส่งออกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้องมีกระกวนการผลิตอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้มีต้นทุนในการผลิตสูง โดยเฉพาะค่าไฟฟ้าซึ่งถือเป็นต้นทุนหลัก ทำให้ทางห้างฯ คิดลดต้นทุนการผลิต เพื่อทำให้ราคาพร้อมแข่งขันในตลาดโลกได้ ด้วยการเข้าร่วม “โครงการพัฒนาผู้ประกอบการ เพื่อเพิ่มผลิตภาพอย่างมีนวัตกรรม (Entrepreneurs Development for Innovation Productivity Programme – EDIPP)” ของกรมส่งเสริมอุตสาหรรม กระทรวงอุตสาหกรรม โดยเน้นไปที่การลดการสูญเสียวัสดุระหว่างการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ที่มีอัตราสูงถึง 30-40% โดยนำกลับมาใช้ใหม่ในกระบวนการผลิต รวมถึงการลดอัตราการใช้ไฟฟ้าได้ถึง 40,000 บาท/เดือน ทำให้ทางห้างฯ มีเงินทุนหมุนเวียนมากขึ้นในการดำเนินธุรกิจ
ส่วนแผนธุรกิจในอนาคต พัชรี บอกว่า ต้องมีการพัฒนาของเล่นเด็กที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้วัสดุที่ย่อยสลายง่าย ที่ทำมาจากธรรมชาติ เพื่อตอบรับกระแสของทั่วโลกที่หันมาใส่ใจในสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ซึ่งการค้นหาวัสดุดังกล่าวทางห้างฯ จะทำการวิจัยหาวัสดุทดแทน รวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจในปัจจุบัน
***สนใจติดต่อ 0-2892-0411-4 หรือที่ www.mnpworld.com***