สมาชิกสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ร้องเอสเอ็มอีแบงก์ ปล่อยกู้ยาก ประวิงเวลา ไม่ยอมปล่อยกู้ สิ่งทอ ผู้ประกอบการขอกู้ไป 4,000 ล้านบาท อนุมัติเพียง 3 ราย แค่ 62 ล้านบาท หวั่นต้องปลดคนงานเพิ่ม เสนอฟื้นข้อเสนอตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม
นายสมมาต ขุนเศษฐ รองเลขาธิการ ส.อ.ท. กล่าวภายหลังประชุมตัวแทนสมาชิก ส.อ.ท.ทั่วประเทศ ว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงปัจจุบันสมาชิก ส.อ.ท.ยื่นขอกู้กับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(เอสเอ็มอีแบงก์) จำนวน 4,000 ล้านบาท แต่ได้รับการอนุมัติเพียง 3 ราย รวมวงเงิน 62 ล้านบาท ทั้งที่สมาชิก ส.อ.ท.ต้องการสินเชื่อประมาณ 100,000 ล้านบาท เนื่องจากธนาคารประวิงเวลา
โดยให้เหตุผลว่าหลักประกันของผู้กู้ไม่เพียงพอ ขั้นตอนการพิจารณาล่าช้า ไม่ยอมปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจบางประเภท เช่น สิ่งทอ และเสื้อผ้า เนื่องจากเห็นว่าเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงและอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารให้อยู่ในเกณฑ์กับดอกเบี้ยทั่วไปประมาณร้อยละ 5 ส่งผลให้ สมาชิกทุกภาคประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง เนื่องจากธนาคารทั้งเอกชนและธนาคารเฉพาะกิจของรัฐไม่ปล่อยสินเชื่อและปล่อยล่าช้ามาก
ทางส.อ.ท.เสนอให้มีการรื้อฟื้นข้อเสนอการจัดตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม เพื่อดูแลอุตสาหกรรมเป็นการเฉพาะเหมือนธนาคารเฉพาะกิจอื่น ๆ เช่น ธ.ก.ส.ที่ดูแลเกษตรกร ซึ่งหากปัญหาสภาพคล่องยังไม่ได้รับการแก้ไขอาจจะมีผลทำให้มีการเลิกจ้างเพิ่มขึ้น เพราะขณะนี้เอสเอ็มอีขนาดเล็กกำลังมีปัญหา เพราะสายป่านไม่ยาว ประกอบกับลูกค้าเลื่อนการชำระค่าสินค้าเป็น 2-3 เดือน ทำให้เงินทุนที่จะมาขยายกิจการและซื้อวัตถุดิบไม่เพียงพอ
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปัญหาการเลิกจ้างจะไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา เพราะขณะนี้เศรษฐกิจปรับตัวขึ้นผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และรัฐบาลมีโครงการชะลอการเลิกจ้าง
นายสมมาต ขุนเศษฐ รองเลขาธิการ ส.อ.ท. กล่าวภายหลังประชุมตัวแทนสมาชิก ส.อ.ท.ทั่วประเทศ ว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคมจนถึงปัจจุบันสมาชิก ส.อ.ท.ยื่นขอกู้กับธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย(เอสเอ็มอีแบงก์) จำนวน 4,000 ล้านบาท แต่ได้รับการอนุมัติเพียง 3 ราย รวมวงเงิน 62 ล้านบาท ทั้งที่สมาชิก ส.อ.ท.ต้องการสินเชื่อประมาณ 100,000 ล้านบาท เนื่องจากธนาคารประวิงเวลา
โดยให้เหตุผลว่าหลักประกันของผู้กู้ไม่เพียงพอ ขั้นตอนการพิจารณาล่าช้า ไม่ยอมปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจบางประเภท เช่น สิ่งทอ และเสื้อผ้า เนื่องจากเห็นว่าเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงและอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารให้อยู่ในเกณฑ์กับดอกเบี้ยทั่วไปประมาณร้อยละ 5 ส่งผลให้ สมาชิกทุกภาคประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง เนื่องจากธนาคารทั้งเอกชนและธนาคารเฉพาะกิจของรัฐไม่ปล่อยสินเชื่อและปล่อยล่าช้ามาก
ทางส.อ.ท.เสนอให้มีการรื้อฟื้นข้อเสนอการจัดตั้งธนาคารเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรม เพื่อดูแลอุตสาหกรรมเป็นการเฉพาะเหมือนธนาคารเฉพาะกิจอื่น ๆ เช่น ธ.ก.ส.ที่ดูแลเกษตรกร ซึ่งหากปัญหาสภาพคล่องยังไม่ได้รับการแก้ไขอาจจะมีผลทำให้มีการเลิกจ้างเพิ่มขึ้น เพราะขณะนี้เอสเอ็มอีขนาดเล็กกำลังมีปัญหา เพราะสายป่านไม่ยาว ประกอบกับลูกค้าเลื่อนการชำระค่าสินค้าเป็น 2-3 เดือน ทำให้เงินทุนที่จะมาขยายกิจการและซื้อวัตถุดิบไม่เพียงพอ
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าปัญหาการเลิกจ้างจะไม่รุนแรงเหมือนที่ผ่านมา เพราะขณะนี้เศรษฐกิจปรับตัวขึ้นผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และรัฐบาลมีโครงการชะลอการเลิกจ้าง
