อาจเพราะด้วยไลฟ์สไตล์ของคนเมืองที่เปลี่ยนไป ทุกอย่างต้องเร่งรีบ ความครบครัน จึงเป็นปัจจัยในลำดับต้นๆ ที่ทุกคนมองหาในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ อีกทั้งสินค้าดีไซน์ ยังกลายมาเป็นกลยุทธ์สำคัญในการแข่งขันในยุคนี้ ห้างสรรพสินค้าในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป, ดิ เอ็มโพเรียม และพารากอน จึงปรับปรุงแผนก Be Trend ขึ้นใหม่ โดยนำโซน Be Trend เดิม ที่มีแต่ ตุ๊กตาและของขวัญ มารวมเข้ากับโซน Read & Write กลายเป็นแผนก Be Trend รูปแบบใหม่ ที่เน้นสินค้าดีไซน์เป็นหลัก
และจากจุดนี้เอง ได้กลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางสำคัญ สำหรับคนที่ต้องการโอกาส และจุดเริ่มต้น ในการทำสินค้าไอเดีย
ภายในแผนก Be Trend จะแบ่งออกเป็น 4 เซคชั่นหลัก คือ เครื่องเขียน , ของขวัญ หนังสือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
“สายสวาท เลิศเจริญเสริมสุข” ผู้จัดการทั่วไปสายบริหารสินค้า Be Trend บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ได้เล่าถึงความเป็นมาของการปรับปรุงแผนก Be Trend
“ หลังจากรวมแผนกกัน รูปแบบของสินค้า จะตอกย้ำความเป็นไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่มากขึ้น อีกส่วนหนึ่งก็คือเรามองในแง่ของการให้พื้นที่กับกลุ่มนักออกแบบหน้าใหม่ พี่มองภาพใหญ่ของห้าง อย่างเสื้อผ้าแฟชั่น เรายังมีการสนับสนุนยังดีไซเนอร์
ดังนั้นในแง่ของ Be Trend สินค้า gift ของเรา อย่างตุ๊กตา หรือการ์ด ก็สามารถใส่ดีไซน์เข้าไปได้ ตรงนี้เป็นเวทีที่เปิดกว้าง ให้แก่นักออกแบบไทยหน้าใหม่ๆ ซึ่งพี่เชื่อว่ามีศักยภาพในการออกแบบอยู่มาก
สินค้าไอเดีย มันเป็นอิมเพรสชั่น คือเจอปุ๊ป ชอบก็จะซื้อเลย เด็กวัยรุ่นจะเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เราได้รับความร่วมมือจากซับพลายเออร์ที่มาสนับสนุนแนวความคิดนี้ของ Be Trend เป็นอย่างดี สินค้าไอเดียต้องมีความแตกต่าง แต่จะแตกต่างอย่างไร คือต้องมีความลงตัวอยู่ด้วย”
ช่วงปีที่ผ่านมา Be Trend ตอกย้ำแนวคิดเรื่องการสนับสนุนนักออกแบบหน้าใหม่ โดยเปิดโครงการ Be Green Be Trend เพื่อรณรงค์ในเรื่องของสภาวะโลกร้อน ให้น้องๆ นักศึกษา ทำโปรดักส์ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติขึ้นมา หรืออาจจะเป็นเสื้อยืดที่เพ้นท์ลายต่างๆ ที่เกี่ยวกับภาวะโลกร้อนก็ได้
“โปรเจ็คต์นี้ เพิ่งปิดตัวไป แต่เราก็จะมีโปรเจ็คต์ใหม่ๆ มาอีกเรื่อยๆ ซึ่งน้องๆ ที่ร่วมโครงการก็สามารถวางขายสินค้าได้ ถ้าเขารู้จักการต่อยอด ซึ่งส่วนใหญ่น้องๆ จะไม่รู้อะไรเลย แม้กระทั่งเรื่องต้นทุน เราก็ต้องค่อยๆ ให้คำแนะนำ เพราะอยากให้เขามีที่ทาง อยากจะให้โอกาสจริงๆ
ถ้าเราไม่เปิดโอกาสตรงนี้ให้มันก็ลำบากนะ น้องๆ เขาจะไปวางขายที่ไหนละ อาจจะไปจตุจักร แต่มันก็ไม่อิน อย่างหนึ่งก็คือห้างสรรสินค้ามีคนมาเยอะมาก อย่างเอ็มโพเรียม ก็มีชาวต่างชาติมาเยอะ อยากให้เขาภูมิใจ ว่าสินค้าที่เขาออกแบบ มันได้อยู่บนห้างคุณภาพ ไม่ใช่ไปวางขายแบกะดิน ตรงนี้เป็นกำลังใจให้กับเขาด้วย”
ด้วยความที่เป็นห้างสรรพสินค้า ผู้บริหารอย่าง สายสวาท จึงเล็งเห็นว่า เป็นการยากที่จะพาตัวเองไปพบกับสินค้า หรือผู้ประกอบการ เลยเปลี่ยนเป็นการเปิดโอกาส ให้ทุกๆ คนที่มีสินค้า หรือมีไอเดียดีๆ สามารถเดินเข้ามาหาทางแผนกได้
“ส่วนเกณฑ์ในการคัดเลือกผลงาน เรื่องหลักๆ ที่เน้นก็คือ 1.ต้องไม่ก็อปปี้ใคร บางครั้งมาคุยกับเรา ก็จะบอกเขาตรงๆ กัน พี่เป็นคนพูดตรงไปตรงมา เพราะเรากลัวในเรื่องไลเซนซิ่ง เพราะของทั่วโลกมันมีอยู่เยอะมาก เรื่องก็อปปี้คนอื่นนี่ไม่ได้เลย สินค้าคุณอาจจะขายได้ แต่มันกลายเป็นการส่งเสริมในเรื่องที่ไม่ดี
ต่อมาคือเรื่องความปลอดภัย เป็นอีกเรื่องหลักที่ต้องเน้น อย่างไฟประดับต่างๆ ต้องตามมาตรฐานสากล แต่ถ้าเป็นเรื่องของดีไซน์ หรือหน้าตาของสินค้า เราไม่ค่อยมีกติกามากนัก เพราะมองว่าคนเราชอบต่างกัน ความคิดต่างกัน เราคำถึงเรื่องความปลอดภัย และการก็อปปี้เป็นหลักมากกว่า
บางคนงานไม่ผ่าน เราก็จะคุยตรงๆ ว่ามันอาจจะไม่ตรงกับกลุ่มลูกค้าของเรา แต่ไม่ใช่ว่าของเขาไม่ดี คือต้องดูเรื่องตลาดในตอนนั้นด้วย แต่ละสาขาหน้าตาแบบนี้ ถ้าไม่เข้ากรุ๊ปกัน สินค้าคุณอาจจะตาย ซึ่งไม่ได้แปลว่าสินค้าคุณไม่ดี แต่มันไม่ตรงกับเรา บางครั้งก็ให้คำแนะนำไป แล้วเขาก็ไปพัฒนามาใหม่”
สำหรับผู้ประกอบการหน้าใหม่ ที่อยากลองทำสินค้ามาเสนอทาง Be Trend ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นโรงงาน หรือมีฐานการผลิตเยอะ แค่เป็นคนที่มีไอเดียในการดีไซน์สินค้าเท่านั้น
“พี่มองว่าสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยต้องการอย่างมากคือโอกาส ซึ่งทางเราพร้อมที่จะให้เสมอ บางคนทำเทียนหอมรูปหัวใจมาขายเฉพาะช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ก็มี ขอเพียงให้คุณเริ่มต้นเท่านั้น โอกาสในการต่อยอดมีอยู่มากมาย เพราะที่นี่เป็นห้างในระดับแนวหน้า มีทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ที่พร้อมจะให้ความสนใจกับสินค้าของคุณอยู่แล้ว”
ส่วนเทรนด์ปี 2552 ผู้บริหาร Be Trend มองว่า ต้องเป็นของดีไซน์ที่ใช้งานได้จริง และเน้นสีสันที่สดใสเป็นหลัก อย่าง ฟ้า ชมพู เขียว ส้ม เพื่อเพิ่มความสดใส และลดความตึงเครียดจากปัญหาเศรษฐกิจที่รออยู่
..................................................................................
***ข้อมูลจาก นิตยสาร SMEs Today ฉบับ 75 เดือนมกราคม 2552 ****