xs
xsm
sm
md
lg

KoKoaHut ช็อคโกแลตคนไทย จับผลไม้เคลือบแข็งเพิ่มค่าส่งออก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

มณฑิรา บุญพารอด
ช็อคโกแลตถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความสุข และการให้ ที่ดูจะไม่ขัดเขินเมื่อนำไปเป็นของขวัญ ของฝาก ในทุกๆ เทศกาล แต่คำว่าช็อคโกแลตสำหรับคนไทยนั้น สิ่งแรกที่นึกถึงคือการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศ เพราะที่ผ่านมายังไม่ค่อยมีผู้ประกอบการคนไทยที่คิดทำช็อคโกแลตขึ้นเอง เนื่องจากต้องลงทุนในเรื่องเครื่องจักร รวมถึงความยุ่งยากในการผลิต แต่จะเป็นการนำเข้าช็อคโกแลตก้อนเข้ามา และนำมาละลาย เพื่อนำไปเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ต่อไป

ช็อคโกแลตหลากหลายรสชาติ
แต่ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่ง ที่ต้องการนำช็อคโกแลต ผลิตภัณฑ์ที่คนทั่วโลกรู้จักกันดี มาผสมผสานกับของดีในไทย อย่างผลไม้ไทย ที่ชาวต่างชาติ ก็รู้จักดีไม่แพ้ช็อคโกแลตเช่นกัน มาสร้างเป็นธุรกิจ และสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อต้องการเปิดตลาดสินค้าไทย พ่วงสินค้าต่างชาติที่คนทั่วโลกคุ้นเคย
Dark Chocolate สำหรับคนชอบความขม
มณฑิรา บุญพารอด เจ้าของธุรกิจร้านช็อคโกแลต KoKoaHut บริษัท คาราเฟ จำกัด เล่าว่า เดิมธุรกิจของครอบครัวเริ่มจากการนำเมล็ดทานตะวันมาคั่ว เพื่อรับกระแสคนรักสุขภาพ จนกระทั่งมีโอกาสไปเห็นผลิตภัณฑ์เมล็ดทานตะวันเคลือบช็อคโกแลตที่ร้าน Loft จึงคิดว่าน่าจะทำได้ แต่ความคิดนั่นก็ต้องหยุดชะงัก หลังจากที่ตนเองตัดสินใจไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่เมื่อเรียนจบกลับมา ความคิดดังกล่าวก็กลับมาอีกครั้ง และคิดที่จะนำร่องการนำวัตถุดิบอื่นๆ มาเคลือบช็อคโกแลตแบบแข็ง ด้วยการนำผู้เชี่ยวชาญจากประเทศมาเลเซียมาสอน การทำเมล็ดทานตะวันเคลือบช็อคโกแลต
ราคาขายกล่องละ 45-95 บาท
“เราเริ่มต้นจาการนำเมล็ดทานตะวันมาเคลือบช็อคโกแลตเป็นอันดับแรก เพราะเป็นวัตถุดิบที่เราคุ้นเคยและใกล้ตัว แต่ขั้นตอนและผลผลิตที่ได้กลับไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจไว้ เนื่องจากเมล็ดทานตะวันถือเป็นวัตถุดิบที่ต้องเอาใจใส่ในขั้นตอนการเก็บรักษาเป็นอย่างดี เพื่อเลี่ยงปัญหากลิ่นเหม็นหืน ดังนั้นเราจึงทดลองเก็บในซองที่บรรจุก๊าซไนโตรเจนประมาณ 3-4 ปี จนได้ผลผลิตที่ครองคุณภาพได้อย่างเดิม ทำให้ต่อจากนี้ไปเราจะนำวัตถุดิบอื่นๆ มาเคลือบช็อคโกแลตแบบแข็งก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป”
กระเช้าของขวัญต้อนรับเทศกาลปีใหม่
เมื่อคิดจะที่จำเป็นผู้นำในเรื่องช็อคโกแลตของเมืองไทย ดังนั้นการทำช็อคโกแลตเองจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อให้ได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ภายใต้แบรนด์ “KoKoaHut” ในคอนเซ็ปต์ “Chocolate Experience” ด้วยการนำผงโกโก้ ผสมกับนม และน้ำตาล มาผสมเข้าด้วยกัน ทำให้ได้ช็อคโกแลตที่มีรสชาติแตกต่างจากตามท้องตลาดทั่วไปที่เน้นไปที่การนำเข้าช็อคโกแลตแบบก้อน แล้วนำมาละลายเพื่อนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆ ต่อไป

“เรานำร่องด้วยเมล็ดทานตะวัน ต่อมาจึงแตกไลน์ไปที่เมล็ดฝักทอง โดยยังไม่ทิ้งผลิตภัณฑ์แนวรักสุขภาพ แต่ด้วยการที่เราทำช็อคโกแลตเอง ดังนั้นจึงน่าจะนำของไทยๆ อย่างผลไม้ไทย มาเคลือบบ้าง เพื่อให้ผลไม้เป็นที่รู้จักมากขึ้น และที่ผ่านมายังๆ ไม่มีคนไทยที่คิดนำผลไม้ไทยมาเคลือบช็อคโกแลตเพื่อเพิ่มมูลค่า เช่น มะม่วง ทุเรียนกวน กล้วยตาก ลูกเกด มะขาม และสับปะรด เป็นต้น ซึ่งการที่เราเอาผลไม้มาเคลือบช็อคโกแลตนั้น เป็นการเพิ่มมูลค่าให้ผลไม้ได้ 100% แน่นอน แต่ขั้นตอนการผลิตก็ย่อมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย เพราะต้องเริ่มจากการรับวัตถุดิบมาจากชาวบ้าน นำผลไม้มากวน และใส่ในเครื่องปั้น เพื่อนำไปเคลือบช็อคโกแลตต่อไป”
ดิปปิง สำหรับจิ้มกับขนมปัง
จากผลสำเร็จที่นำผลไม้ไทยมาเคลือบช็อคโกแลต นอกจากจะเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรในการับซื้อผลผลิตแล้ว ยังทำให้ผลไม้ไทยเป็นที่รู้จักในต่างประเทศมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะลูกค้าประเทศญี่ปุ่น ที่จากเดิมจะชื่นชอบมะม่วงสุกของไทยอยู่ก่อนแล้ว แต่เนื่องจากราคาแพง หารับประทานยาก แต่เมื่อได้นำมาแปรรูป และเคลือบช็อคโกแลต ทำให้ลูกค้าชาวญี่ปุ่นเข้าถึงผลไม้ได้ง่ายขึ้น ในขณะที่รสทุเรียนกวนเคลือบช็อคโกแลต ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน จากลูกค้าชาวจีน ในขณะที่คนไทยนิยมซื้อเป็นของขวัญ ของฝาก โดยราคาของเมล็ดธัญพืชเคลือบช็อคโกแลตอยู่ที่ 45-95 บาท/กล่อง ส่วนผลไม้กวนเคลือบช็อคโกแลตอยู่ที่ 65 บาท/กล่อง ซึ่งคนไทยจะชื่นชอบไส้ทุเรียน และกล้วยตาก

สำหรับร้าน KoKoaHut ขณะนี้ได้แตกไลน์ผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ในวงการของช็อคโกแลตเช่น ดิปปิ้ง ช็อคโกแลต สำหรับจิ้มกับขนมปัง, เครื่องดื่ม Milk Chocolate, Dark Chocolate และช็อคโกแลตชิ้น สหรับผู้ที่ชื่นชอบรสชาติแท้ ความขมของช็อคโกแลต

ปัจจุบัน KoKoaHut มีทั้งหมด 11 สาขา โดย 7 สาขา เป็นการลงทุนของ มณฑิรา เองทั้งหมด ส่วนอีก 4 สาขา เป็นการลงทุนในลักษณ์ของผู้ร่วมลงทุน ไม่ใช่ในลักษณะของแฟรนไชส์ เพราะทางร้านไม่ได้เรียกเก็บค่าแฟรนไชส์ฟี หรือค่าแรกเข้าใดๆ ทั้งหมด เพียงแต่ต้องซื้อวัตถุดิบจากบริษัทแม่เท่านั้น ซึ่งการลงทุนแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ คือ 1.แบบเคาเตอร์ สำหรับจัดวางสินค้า 2.แบบคีออสก์ (Kiosk) และ 3.แบบ Sit in หรือร้านที่มีที่นั่ง ซึ่งร้านในลักษณะเช่นนี้จะมีการขายเครื่องดื่มด้วย คือ ที่สาขา เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ และที่ห้างเซ็นทรัลเวิร์ล

“ภายในระยะเวลาที่เราเริ่มธุรกิจมาเกือบ 2 ปี มี 11 สาขา ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าพอใจ ผู้บริโภครู้จักมากขึ้น โดยในอนาคตเราจะขยายสาขาไปตามจังหวัดใหญ่ๆ ด้วย โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว รวมถึงเน้นไปที่การสร้างแบรนด์ให้คนรู้จักมากขึ้น ด้วยการลดขนาดแพคเกจให้เล็กลงเพื่อเจาะตลาดตามร้านสะดวกซื้อ ในขณะที่ช่วงเทศกาลปีใหม่ ทางร้านก็มีการจัดกระเช้าช็อคโกแลต เพื่อให้ผู้บริโภคเลือกซื้อเป็นของขวัญปีใหม่ได้อีกด้วย”

***สนใจติดต่อ 02-522-6680-2 หรือที่ www.kokoahut.com***
กำลังโหลดความคิดเห็น