สสว. ชี้แนวโน้มเอสเอ็มอีปี 2552 ขยายตัว 2.42 ล้านราย รายได้ 6.02 ล้านล้านบาท การส่งออก 1.80 ล้านล้านบาท ขณะที่กำไร ผลิตภาพแรงงาน ผลตอบแทนจากการดำเนินงาน ความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย ปรับตัวลดลงชี้จากปัจจัยลบสำคัญยังคงอยู่ที่ สถานการณ์ทางการเมือง การหดตัวของเศรษฐกิจโลก และต้นทุนประกอบการ
นายภักดิ์ ทองส้ม รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า จากการสำรวจผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 4,200 ตัวอย่างทั่วประเทศ พบว่า ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของเอสเอ็มอี ในปี 2552 ยังคงมีทั้งหลายปัจจัย ทั้งสถานการณ์ทางการเมือง การหดตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ การลงทุน ค่าเงินบาท ความผันผวนของราคาพลังงาน ผลกระทบด้านต้นทุน การบริโภคที่ลดลง นโยบายหรือการเปลี่ยนรัฐบาล เป็นต้น
สำหรับจำนวนเอสเอ็มอี ปี 2552 น่าจะมีจำนวนประมาณ 2.42 ล้านราย ขยายตัวร้อยละ 0.53 หรือเพิ่มขึ้น 12,311 ราย แต่เป็นการขยายตัวแบบถดถอย ซึ่งเป็นผลมาจากการที่วิสาหกิจสาขาอื่น ๆ จะมีจำนวนเอสเอ็มอี เพิ่มขึ้น 25,340 ราย ขณะที่อุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจการค้าและบริการ จะมีจำนวนวิสาหกิจลดลง 13,029 ราย ซึ่งในส่วนของผู้ประกอบการที่ประสบปัญหา อาจจะนำไปสู่การลดขนาดธุรกิจ หรือปรับเปลี่ยนธุรกิจทั้งที่ใกล้เคียงและไม่ใกล้เคียงกับธุรกิจเดิม เช่นเดียวกับจำนวนแรงงานในภาพรวมที่จะมีประมาณ 9.28 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 1.24 หรือเพิ่มขึ้น 109,333 คน โดยเป็นการจ้างงานในอุตสาหกรรมสาขาอื่น ๆ เพิ่มขึ้น 229,799 คน ขณะที่อุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจการค้าและบริการ มีการจ้างงานลดลง 120,466 คน ขณะที่มูลค่าตลาด ซึ่งวัดจากรายได้สุทธิ จะมีจำนวน 6.02 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 1.33 ส่วนการส่งออก 1.80 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.06 และผลิตภาพทุน 0.23 เท่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.28
นายภักดิ์ เปิดเผยต่อว่า จำนวนวิสาหกิจเอสเอ็มอี ในภาคการผลิต คาดว่าจะมีจำนวนเอสเอ็มอี รวม 652,715 ล้านราย ลดลงร้อยละ 0.57 พบว่าสาขาในกลุ่มวิศวการ จะมีจำนวนวิสาหกิจลดลงเป็นส่วนใหญ่ แต่โดยส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรมในภาคการผลิต จะมีจำนวนวิสาหกิจเพิ่มขึ้น และสาขาที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ และกลุ่มอาหาร ภาคการค้าและบริการ ส่วนสาขาที่คาดว่าจะมีจำนวนวิสาหกิจลดลง เช่น บริการท่องเที่ยว บริการอื่น ๆ เป็นต้น ด้านจำนวนการจ้างงาน พบว่าในภาคการผลิต จะมีการจ้างงานประมาณ 3.31 ล้านคน ลดลง ร้อยละ 1.16 ส่วนสาขาที่จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นจะอยู่ในกลุ่มอาหารเป็นส่วนใหญ่
ขณะที่ภาคการค้าและบริการ จะมีการจ้างงานประมาณ 3.17 ล้านคน ลดลงร้อยละ 0.22 โดยสาขาที่คาดว่าจะมีการจ้างงานลดลง ได้แก่ บริการที่ปรึกษา บริการอื่น ๆ บริการคอมพิวเตอร์ฯ บริการสุขภาพและอนามัย ไปรษณีย์ฯ เป็นต้น ส่วนสาขาที่จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ บริการวิจัยและพัฒนา บริการก่อสร้าง การศึกษา โรงแรมและภัตตาคาร เป็นต้น โดยสาขาที่มีความโดดเด่นเนื่องจากจะสามารถดำเนินธุรกิจไปได้ด้วยดีจำนวน 10 สาขา ประกอบด้วย สิ่งพิมพ์ ยา-สมุนไพร และเวชภัณฑ์ เยื่อกระดาษฯ เคมีภัณฑ์ เนื้อสัตว์ นมและผลิตภัณฑ์นม น้ำตาลและผลิตภัณฑ์จากน้ำตาล เครื่องดื่ม อาหารกึ่งสำเร็จรูปประเภทเส้น และรีไซเคิล
ทั้งนี้ในส่วนภาคการผลิตสาขาที่มีความโดดเด่นคือ สิ่งพิมพ์ ยา-สมุนไพร และเวชภัณฑ์ เยื่อกระดาษฯ เคมีภัณฑ์ เนื้อสัตว์ นมและผลิตภัณฑ์นม น้ำตาลและผลิตภัณฑ์จากน้ำตาล เครื่องดื่ม อาหารกึ่งสำเร็จรูปประเภทเส้น และรีไซเคิล ส่วนสาขาที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ หนังและผลิตภัณฑ์หนัง เฟอร์นิเจอร์ แก้วและเซรามิก สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือเฉพาะด้าน แร่อโลหะ และเครื่องจักรกล
ในขณะที่ภาคการค้าและบริการ จะมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจที่สำคัญ ได้แก่ รายได้ ผลิตภาพทุน ความสามารถในการชำระหนี้ ผลตอบแทนจากการดำเนินงาน และรายได้ด้อยค่า โดยพบว่าสาขาที่มีความโดดเด่นใน 5 ลำดับแรก ได้แก่ บริการที่ปรึกษา บริการทางการเงิน ไปรษณีย์ โลจิสติกส์ บริการ การศึกษา ส่วนสาขาที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ โรงแรมและภัตตาคาร ก่อสร้าง บริการเสริมสุขภาพ สปาฯ บริการอสังหาริมทรัพย์ และบริการท่องเที่ยว
นายภักดิ์ ทองส้ม รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า จากการสำรวจผู้ประกอบการเอสเอ็มอี 4,200 ตัวอย่างทั่วประเทศ พบว่า ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจของเอสเอ็มอี ในปี 2552 ยังคงมีทั้งหลายปัจจัย ทั้งสถานการณ์ทางการเมือง การหดตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ การลงทุน ค่าเงินบาท ความผันผวนของราคาพลังงาน ผลกระทบด้านต้นทุน การบริโภคที่ลดลง นโยบายหรือการเปลี่ยนรัฐบาล เป็นต้น
สำหรับจำนวนเอสเอ็มอี ปี 2552 น่าจะมีจำนวนประมาณ 2.42 ล้านราย ขยายตัวร้อยละ 0.53 หรือเพิ่มขึ้น 12,311 ราย แต่เป็นการขยายตัวแบบถดถอย ซึ่งเป็นผลมาจากการที่วิสาหกิจสาขาอื่น ๆ จะมีจำนวนเอสเอ็มอี เพิ่มขึ้น 25,340 ราย ขณะที่อุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจการค้าและบริการ จะมีจำนวนวิสาหกิจลดลง 13,029 ราย ซึ่งในส่วนของผู้ประกอบการที่ประสบปัญหา อาจจะนำไปสู่การลดขนาดธุรกิจ หรือปรับเปลี่ยนธุรกิจทั้งที่ใกล้เคียงและไม่ใกล้เคียงกับธุรกิจเดิม เช่นเดียวกับจำนวนแรงงานในภาพรวมที่จะมีประมาณ 9.28 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 1.24 หรือเพิ่มขึ้น 109,333 คน โดยเป็นการจ้างงานในอุตสาหกรรมสาขาอื่น ๆ เพิ่มขึ้น 229,799 คน ขณะที่อุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจการค้าและบริการ มีการจ้างงานลดลง 120,466 คน ขณะที่มูลค่าตลาด ซึ่งวัดจากรายได้สุทธิ จะมีจำนวน 6.02 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 1.33 ส่วนการส่งออก 1.80 ล้านล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5.06 และผลิตภาพทุน 0.23 เท่า ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.28
นายภักดิ์ เปิดเผยต่อว่า จำนวนวิสาหกิจเอสเอ็มอี ในภาคการผลิต คาดว่าจะมีจำนวนเอสเอ็มอี รวม 652,715 ล้านราย ลดลงร้อยละ 0.57 พบว่าสาขาในกลุ่มวิศวการ จะมีจำนวนวิสาหกิจลดลงเป็นส่วนใหญ่ แต่โดยส่วนใหญ่ของอุตสาหกรรมในภาคการผลิต จะมีจำนวนวิสาหกิจเพิ่มขึ้น และสาขาที่เพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ และกลุ่มอาหาร ภาคการค้าและบริการ ส่วนสาขาที่คาดว่าจะมีจำนวนวิสาหกิจลดลง เช่น บริการท่องเที่ยว บริการอื่น ๆ เป็นต้น ด้านจำนวนการจ้างงาน พบว่าในภาคการผลิต จะมีการจ้างงานประมาณ 3.31 ล้านคน ลดลง ร้อยละ 1.16 ส่วนสาขาที่จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้นจะอยู่ในกลุ่มอาหารเป็นส่วนใหญ่
ขณะที่ภาคการค้าและบริการ จะมีการจ้างงานประมาณ 3.17 ล้านคน ลดลงร้อยละ 0.22 โดยสาขาที่คาดว่าจะมีการจ้างงานลดลง ได้แก่ บริการที่ปรึกษา บริการอื่น ๆ บริการคอมพิวเตอร์ฯ บริการสุขภาพและอนามัย ไปรษณีย์ฯ เป็นต้น ส่วนสาขาที่จะมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น ได้แก่ บริการวิจัยและพัฒนา บริการก่อสร้าง การศึกษา โรงแรมและภัตตาคาร เป็นต้น โดยสาขาที่มีความโดดเด่นเนื่องจากจะสามารถดำเนินธุรกิจไปได้ด้วยดีจำนวน 10 สาขา ประกอบด้วย สิ่งพิมพ์ ยา-สมุนไพร และเวชภัณฑ์ เยื่อกระดาษฯ เคมีภัณฑ์ เนื้อสัตว์ นมและผลิตภัณฑ์นม น้ำตาลและผลิตภัณฑ์จากน้ำตาล เครื่องดื่ม อาหารกึ่งสำเร็จรูปประเภทเส้น และรีไซเคิล
ทั้งนี้ในส่วนภาคการผลิตสาขาที่มีความโดดเด่นคือ สิ่งพิมพ์ ยา-สมุนไพร และเวชภัณฑ์ เยื่อกระดาษฯ เคมีภัณฑ์ เนื้อสัตว์ นมและผลิตภัณฑ์นม น้ำตาลและผลิตภัณฑ์จากน้ำตาล เครื่องดื่ม อาหารกึ่งสำเร็จรูปประเภทเส้น และรีไซเคิล ส่วนสาขาที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ หนังและผลิตภัณฑ์หนัง เฟอร์นิเจอร์ แก้วและเซรามิก สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องมือเฉพาะด้าน แร่อโลหะ และเครื่องจักรกล
ในขณะที่ภาคการค้าและบริการ จะมีปัจจัยที่ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจที่สำคัญ ได้แก่ รายได้ ผลิตภาพทุน ความสามารถในการชำระหนี้ ผลตอบแทนจากการดำเนินงาน และรายได้ด้อยค่า โดยพบว่าสาขาที่มีความโดดเด่นใน 5 ลำดับแรก ได้แก่ บริการที่ปรึกษา บริการทางการเงิน ไปรษณีย์ โลจิสติกส์ บริการ การศึกษา ส่วนสาขาที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ ได้แก่ โรงแรมและภัตตาคาร ก่อสร้าง บริการเสริมสุขภาพ สปาฯ บริการอสังหาริมทรัพย์ และบริการท่องเที่ยว