เผยส่งออกสิ่งทอไทยปีนี้ โตกว่าร้อยละ 10 คาดมีมูลค่ากว่า 7,700 ลบ. ไม่แน่ใจแนวโน้มปีหน้า ขอประเมินหลังผ่านไตรมาสแรก หวังมะกันเปลี่ยนฐานสั่งสินค้าจากจีนมาสู่ไทย มั่นใจไม่เกิดปัญหาเลิกจ้าง ระบุตลาดยังต้องการแรงงานฝีมืออีกกว่า 30,000 อัตรา
พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธานเปิดโรงงานต้นแบบสิ่งทอฟอกย้อม พิมพ์และตกแต่งเพื่องานวิจัยและสร้างมูลค่าเพิ่มของสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ เพื่อรองรับความต้องการต่อยอดของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ในอุตสาหกรรมสิ่งทอของไทย พร้อมระบุว่า อุตสาหกรรมสิ่งทอมีบทบาทสำคัญต่อภาคเศรษฐกิจไทย เพราะแต่ละปีส่งออกได้ถึงกว่า 240,000 ล้านบาท
นายวิรัตน์ ตันเดชานุรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ กล่าวว่า อุตสาหกรรมสิ่งทอไทย ปีนี้ (2551) ยอดส่งออกจะยังเติบโตได้ถึงร้อยละ 10 ท่ามกลางปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจและวิกฤติสถาบันการเงิน เพราะสิ่งทอเป็นปัจจัย 4 ที่มีความจำเป็น โดยคาดว่า จะมียอดส่งออกปีนี้รวม 7,600-7,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับแนวโน้มการส่งออกปี 2552 จะต้องประเมินอีกครั้งหลังผ่านไตรมาสแรกปี 2552 ไปแล้ว แต่ไทยจะได้รับผลดีจากการที่สหรัฐจะได้นายบารัค โอบามา เป็นประธานาธิบดี ที่จะเข้มงวดสินค้านำเข้าจากจีน หลังจากยุโรปเข้มงวดการนำเข้าสินค้าจากจีนมาแล้ว ทำให้ผู้ซื้อจะหันมาซื้อสินค้าจากไทยมากขึ้น ขณะที่จีนก็เป็นตลาดส่งออกของไทยเช่นกัน
“ช่วงก่อนหน้าจะเกิดวิกฤติสถาบันการเงินในสหรัฐ ได้ตั้งเป้าหมายว่า ในปี ค.ศ. 2013 ไทยจะมียอดส่งออกสิ่งทอรวม 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และจะมีการขยายตลาดอาเซียนเพิ่มเติม เพราะปัจจุบันตลาดอาเซียนนำเข้าสิ่งทอจากต่างประเทศ โดยนำเข้าจากไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น และจีนรวมถึง 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หากไทยแย่งส่วนแบ่งตลาดมาได้ก็จะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมสิ่งทอที่จะมียอดส่งออกสูงขึ้น” นายวิรัตน์ กล่าว
ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ มั่นใจว่า แรงงานในอุตสาหกรรมสิ่งทอจะไม่มีปัญหาเรื่องถูกเลิกจ้าง เพราะโดยภาพรวมแล้วอุตสาหกรรมสิ่งทอยังต้องการแรงงานที่มีฝีมือถึง 30,000 ตำแหน่ง โดยอุตสาหกรรมสิ่งทอมีแรงงานประมาณ 700,000-800,000 คน
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงขณะนี้ มีข้อมูลว่า โรงงานสิ่งทอปิดตัวลงแล้ว 180 แห่ง แต่ก็มีโรงงานเปิดใหม่ถึง 190 แห่ง สาเหตุการปิดแตกต่างกันไปเช่น เจ้าของโรงงานไม่ยอมปรับตัว ไม่ปรับวิธีการทำการค้าให้เป็นแบบสมัยใหม่ จึงไม่อาจแข่งขันได้จนต้องปิดตัวลง เพราะสินค้าที่จะขายได้ในปัจจุบันจะต้องมีการลงทุนเครื่องจักรที่ใช้เทคโนโลยีสูง เพื่อผลิตสินค้าที่ได้คุณภาพสูง