สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ฉีดงบฯ กว่า 250 ล้านบาท สร้างภูมิคุ้มกันผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมฝ่าวิกฤตการเงินโลก เน้นโครงการศึกษางานวิจัย หวังสร้างฐานภาคอุตสาหกรรมไทยแข็งแกร่ง
นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2552 สศอ.เตรียมอัดฉีดงบประมาณกว่า 250 ล้านบาท เพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกันผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทยให้สามารถฟันฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยงบประมาณดังกล่าวจะกระจายในรูปโครงการศึกษาวิจัยเพื่อเตรียมความพร้อมและสร้างความแข็งแกร่งให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเป็นหลัก
สำหรับงบ 250 ล้านบาท จะถูกกระจายไปในรายสาขาอุตสาหกรรมต่าง ๆ 18 โครงการ แบ่งออกเป็นสาขาอุตสาหกรรมอาหาร 6 โครงการ 59.5 ล้านบาท เช่น โครงการยกระดับความปลอดภัยในการผลิตอาหารที่ฆ่าเชื้อด้วยความร้อนและอาหารสุกแช่แข็ง อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน 2 โครงการ 80 ล้านบาท คือ โครงการพัฒนาระบบบริหารการผลิต และโครงการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 3 โครงการ 45 ล้านบาท คือ โครงการพัฒนาศักยภาพแรงงานในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โครงการส่งเสริมการสร้างโครงข่ายเชื่อมโยงธุรกิจให้เป็นมาตรฐาน และโครงการเพิ่มผลผลิตและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อุตสากรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม 3 โครงการ 23.5 ล้านบาท คือ โครงการพัฒนาความสามารถบุคลากรด้านเทคโนโลยีและด้านบริหาร โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสนองความต้องการในประเทศและกลุ่มอาเซียน โครงการพัฒนาและจัดการระบบการผลิตในอุตสาหกรรมสิ่งทอให้เป็นระบบการผลิตแบบลีน อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า 3 โครงการ 35 ล้านบาท คือ โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพและกระบวนการผลิตชิ้นส่วน โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และโครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการโลจิสติกส์ นอกจากนี้ ยังมีงบเพื่อการสนับสนุนอื่น ๆ อีก 7 ล้านบาท ซึ่งงบประมาณที่อัดฉีดลงไปนี้จะเป็นการช่วยพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการให้เพิ่มขึ้น ซึ่งในอนาคตจะช่วยให้เกิดการเติบโตได้อย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตามในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว หากผู้ประกอบการยังมีกังวลต่อวิกฤติเศรษฐกิจจะทำให้สูญเสียโอกาสบางประการ ซึ่งเมื่อการส่งออกชะลอตัวลงบ้าง ยอดขายลดลงบ้าง จึงควรมองว่าเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะแต่ประเทศไทยเท่านั้น และการที่ประเทศไทยเคยเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ถือว่าเป็นบทเรียนที่ทำให้สามารถมองหาช่องทางคลี่คลายวิกฤติได้ต่อไป ดังนั้น ขณะนี้ควรหันไปสร้างภูมิคุ้มกันให้การประกอบการ เดินหน้าอย่างมีระบบ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสทางการค้า และสูญเสียตลาดหลักไป และโครงการภายใต้งบประมาณที่ตั้งไว้นั้นจะช่วยสนับสนุนอีกทางหนึ่ง
นายอาทิตย์ วุฒิคะโร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า ในปีงบประมาณ 2552 สศอ.เตรียมอัดฉีดงบประมาณกว่า 250 ล้านบาท เพื่อเร่งสร้างภูมิคุ้มกันผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทยให้สามารถฟันฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง โดยงบประมาณดังกล่าวจะกระจายในรูปโครงการศึกษาวิจัยเพื่อเตรียมความพร้อมและสร้างความแข็งแกร่งให้ภาคอุตสาหกรรมไทยเป็นหลัก
สำหรับงบ 250 ล้านบาท จะถูกกระจายไปในรายสาขาอุตสาหกรรมต่าง ๆ 18 โครงการ แบ่งออกเป็นสาขาอุตสาหกรรมอาหาร 6 โครงการ 59.5 ล้านบาท เช่น โครงการยกระดับความปลอดภัยในการผลิตอาหารที่ฆ่าเชื้อด้วยความร้อนและอาหารสุกแช่แข็ง อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน 2 โครงการ 80 ล้านบาท คือ โครงการพัฒนาระบบบริหารการผลิต และโครงการพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 3 โครงการ 45 ล้านบาท คือ โครงการพัฒนาศักยภาพแรงงานในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โครงการส่งเสริมการสร้างโครงข่ายเชื่อมโยงธุรกิจให้เป็นมาตรฐาน และโครงการเพิ่มผลผลิตและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อุตสากรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม 3 โครงการ 23.5 ล้านบาท คือ โครงการพัฒนาความสามารถบุคลากรด้านเทคโนโลยีและด้านบริหาร โครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสนองความต้องการในประเทศและกลุ่มอาเซียน โครงการพัฒนาและจัดการระบบการผลิตในอุตสาหกรรมสิ่งทอให้เป็นระบบการผลิตแบบลีน อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า 3 โครงการ 35 ล้านบาท คือ โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพและกระบวนการผลิตชิ้นส่วน โครงการปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และโครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการโลจิสติกส์ นอกจากนี้ ยังมีงบเพื่อการสนับสนุนอื่น ๆ อีก 7 ล้านบาท ซึ่งงบประมาณที่อัดฉีดลงไปนี้จะเป็นการช่วยพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการให้เพิ่มขึ้น ซึ่งในอนาคตจะช่วยให้เกิดการเติบโตได้อย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ตามในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว หากผู้ประกอบการยังมีกังวลต่อวิกฤติเศรษฐกิจจะทำให้สูญเสียโอกาสบางประการ ซึ่งเมื่อการส่งออกชะลอตัวลงบ้าง ยอดขายลดลงบ้าง จึงควรมองว่าเป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะแต่ประเทศไทยเท่านั้น และการที่ประเทศไทยเคยเกิดวิกฤติเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 ถือว่าเป็นบทเรียนที่ทำให้สามารถมองหาช่องทางคลี่คลายวิกฤติได้ต่อไป ดังนั้น ขณะนี้ควรหันไปสร้างภูมิคุ้มกันให้การประกอบการ เดินหน้าอย่างมีระบบ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสทางการค้า และสูญเสียตลาดหลักไป และโครงการภายใต้งบประมาณที่ตั้งไว้นั้นจะช่วยสนับสนุนอีกทางหนึ่ง
