วานนี้(2 ต.ค.)ที่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กลุ่มผู้ได้รับความเสียหายจากการทำสัญญาธุรกิจกับแฟรนไชส์สถาบันสอนภาษา “ฟัน อิง ลิช” (Fun English) ของบริษัท ฟัน อิง ลิช จำกัด ซึ่งประกอบด้วยเจ้าของสาขาที่เข้าร่วมร้องเรียน 4 สาขา ได้แก่ จันทบุรี กรุงเทพ-รังสิต ราชบุรีและสมุทรปราการ
น.ส.สุนิสา ศิริกุล จากสาขาจันทบุรี กล่าวว่า หลังจากตัดสินใจขอซื้อแฟรนไชส์ดังกล่าวจากทางบริษัท ฟัน อิง ลิช จำกัด ซึ่งดำเนินการภายใต้การบริหารของ นางจารุวรรณ ไกรเทพ และ นาวาโทศรวีย์ พรมมา สิ่งที่เกิดขึ้นคือทางบริษัทฯ ไม่ได้ให้การสนับสนุนหรือช่วยเหลือแก่คู่สัญญาตามที่โฆษณาไว้ ไม่มีความพร้อมในการดำเนินการให้แก่คู่สัญญา เช่น ไม่สามารถจัดหาครูผู้สอนภาษา ผู้เชี่ยวชาญมาทำการสอนให้ได้ ในเรื่องหลักสูตรโปรแกรมการเรียนการสอนก็ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่อ้างไว้ และยังมีกรณีของตำราที่ใช้ประกอบการสอน ก็ด้อยคุณภาพ มีข้อผิดพลาดหลายประการ อีกทั้งราคาที่ทางสาขาต้องซื้อจากบริษัทฯ ก็สูงกว่าตามท้องตลาด
“ดิฉันและครอบครัวได้ปรึกษาหารือกันว่าจะทำธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อพัฒนาให้เป็นธุรกิจหลักของครอบครัว ดูมาหลายที่แล้วจึงตกลงเลือกทำธุรกิจแฟรนไชน์ แล้วพอได้มาเจอ บริษัท ฟัน อิง ลิช จำกัด ก็ตรงใจ เพราะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการสอนภาษาต่างประเทศให้กับเด็กๆและบุคคลทั่วไป ดิฉันมีความถนัดและสนใจอยู่แล้ว จึงได้ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกหลายที่ แต่ก็ตกลงใจว่า ฟัน อิง ลิช นี่แหล่ะ เพราะประสบการณ์ที่มากกว่า 20 ปี และรางวัลมาตรฐานแฟรนไชน์ไทย จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ด้วย คิดว่าต้องทำให้ครอบครัวเราประสบความสำเร็จแน่นอน “ นางสุนิสา กล่าว
หลังจากตัดสินใจแล้วนางสุนิสาจึงได้ติดต่อกับ บริษัท ฟัน อิง ลิช จำกัด เพื่อขอทำสัญญาแฟรนไชน์ โดยจะเปิดสาขาที่จังหวัดจันทบุรี และได้รับคำแนะนำอย่างดีเยี่ยมพร้อมพาไปชมสาขาตัวอย่าง ซึ่งขณะนั้นภาพที่เห็นคือ สาขาที่ดำเนินการอย่างสมบูรณ์แบบน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่เริ่มต้นเสียค่าแฟรนไชน์จำนวน 390,000 บาท ก็ได้สัญญาแฟรนไชน์ระยะเวลา 5 ปี นั่นคือจุดเริ่มต้นของธุรกิจในครอบครัว
ทั้งนี้ หลังจากทำสัญญาไปแล้ว บริษัทฯก็ไม่ได้ให้การสนับสนุนหรือช่วยเหลือแก่คู่สัญญาตามที่โฆษณาและให้ข้อมูลไว้ก่อนหน้าเลย ไม่มีความพร้อมที่จะเปิดดำเนินการเนื่องจากทางบริษัทฯยังไม่สามารถจัดหาครูสอนภาษาผู้เชี่ยวชาญให้ได้ รวมทั้งเรื่องหลักสูตรโปรแกรมการเรียนการสอนที่ไม่ได้มาตรฐานตามที่อ้างไว้ อีกทั้งยังพบว่ากรณีตำราการเรียนการสอนที่มีก็ด้อยคุณภาพพบข้อผิดพลาดหลายอย่าง ราคาตำราที่ให้สาขาจำหน่ายก็แพงกว่าราคาท้องตลาดทั้งที่เป็นตำราชนิดเดียวกัน ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่เกิดเฉพาะสาขาจันทบุรีที่เดียว แต่พบว่าทั้ง 4 สาขาที่ร้องเรียนเข้ามาประสบปัญหาคล้ายคลึงกัน โดยที่บริษัทฯไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือสนับสนุนเพื่อแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ผู้เสียหายพยายามติดต่อกับทางบริษัทฯ มาโดยตลอด แต่ไม่มีการตอบรับใดๆ
จนเมื่อเดือนเมษายน 2551 ที่ผ่านมา ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้จัดเวทีเจรจาโดยเชิญผู้เสียหายทั้ง 4 รายร่วมกับผู้บริหารของบริษัทฯ เพื่อเจรจาไกล่เกลี่ย หาทางออกร่วมกัน แต่ไม่สามารถหาข้อยุติได้เนื่องจากบริษัทอ้างว่า ไม่ทราบถึงความต้องการของผู้ร้อง ว่าต้องการอะไร ทางผู้ร้องแจ้งความประสงค์ว่าต้องการบอกเลิกสัญญาและขอเงินคืนเท่านั้น ข้อสรุปในเวทีเจรจาคือ ทางบริษัทจะรับข้อเสนอของผู้ร้องไปพิจารณา 30 วัน ซึ่งต่อมาภายหลังมีจดหมายแจ้งว่า ทางบริษัทไม่ประสงค์จะเจรจาอีกต่อไป เหตุผลเพราะผู้บริโภคผิดสัญญาเอง โดยที่ไม่ได้ชี้แจงว่าผิดสัญญาเรื่องใด
" สิ่งที่พวกเราต้องการคือความรับผิดชอบจาก บริษัท ฟัน อิง ลิช จำกัด ในฐานะผู้ประกอบการที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญา ทำให้พวกเราต้องเสียโอกาสและเสียชื่อเสียงในการประกอบธุรกิจ เราต้องทุ่มเทเงินทั้งชีวิตเพื่อทำธุรกิจนี้ แต่สิ่งที่ได้รับคืนจากบริษัทฯ คือการหลอกลวงที่ไม่เคยคิดจะแสดงความรับผิดชอบอะไรเลย และอยากเตือนผู้บริโภครายอื่นที่คิดจะทำธุรกิจแฟรนไชน์ ควรต้องหาข้อมูลให้ชัดเจนที่สุดเสียก่อน อย่าเห็นแต่เพียงการโฆษณาชวนเชื่อ หรือรางวัลที่ได้รับรองจากหน่วยงานรัฐเท่านั้น " นางสุนิสา กล่าว
ด้านนายทวิพล เสือรอด สาขาราชบุรี กล่าวว่า เมื่อประสบปัญหาก็ได้ยื่นหนังสือเพื่อเรียกร้องกับทางบริษัทฯ โดยขอให้มีการแก้ไขในส่วนของสัญญาที่จะต้องรับผิดชอบในหลายเรื่องเช่น การจัดหาครูผู้สอน การขอลดเงินที่ต้องจ่ายให้บริษัทฯ เหลือแค่ 10% เป็นต้น แต่ทางบริษัทฯ ก็ไม่สามารถดำเนินการตามที่ร้องขอไปได้ จึงเข้ามาร้องเรียนกับมูลนิธิฯ ซึ่งก็ได้จัดให้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยขึ้น แต่ก็ไม่สามารถหาข้อยุติได้
“เราต้องการความรับผิดชอบจากทางบริษัทเพราะทำให้เสียโอกาสการประกอบอาชีพ และเสียชื่อเสียงในการประกอบธุรกิจ ทั้งยังต้องเสียเงินในจำนวนมากแต่กลับไม่ได้รับการใยดี จึงอยากขอยกเลิกสัญญา และให้บริษัทรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งหากยังนิ่งเฉยก็จะดำเนินการฟ้องร้องทางกฎหมายต่อไป” นายทวิพล กล่าว
น.ส.สุนิสา ศิริกุล จากสาขาจันทบุรี กล่าวว่า หลังจากตัดสินใจขอซื้อแฟรนไชส์ดังกล่าวจากทางบริษัท ฟัน อิง ลิช จำกัด ซึ่งดำเนินการภายใต้การบริหารของ นางจารุวรรณ ไกรเทพ และ นาวาโทศรวีย์ พรมมา สิ่งที่เกิดขึ้นคือทางบริษัทฯ ไม่ได้ให้การสนับสนุนหรือช่วยเหลือแก่คู่สัญญาตามที่โฆษณาไว้ ไม่มีความพร้อมในการดำเนินการให้แก่คู่สัญญา เช่น ไม่สามารถจัดหาครูผู้สอนภาษา ผู้เชี่ยวชาญมาทำการสอนให้ได้ ในเรื่องหลักสูตรโปรแกรมการเรียนการสอนก็ไม่เป็นไปตามมาตรฐานที่อ้างไว้ และยังมีกรณีของตำราที่ใช้ประกอบการสอน ก็ด้อยคุณภาพ มีข้อผิดพลาดหลายประการ อีกทั้งราคาที่ทางสาขาต้องซื้อจากบริษัทฯ ก็สูงกว่าตามท้องตลาด
“ดิฉันและครอบครัวได้ปรึกษาหารือกันว่าจะทำธุรกิจอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อพัฒนาให้เป็นธุรกิจหลักของครอบครัว ดูมาหลายที่แล้วจึงตกลงเลือกทำธุรกิจแฟรนไชน์ แล้วพอได้มาเจอ บริษัท ฟัน อิง ลิช จำกัด ก็ตรงใจ เพราะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการสอนภาษาต่างประเทศให้กับเด็กๆและบุคคลทั่วไป ดิฉันมีความถนัดและสนใจอยู่แล้ว จึงได้ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมอีกหลายที่ แต่ก็ตกลงใจว่า ฟัน อิง ลิช นี่แหล่ะ เพราะประสบการณ์ที่มากกว่า 20 ปี และรางวัลมาตรฐานแฟรนไชน์ไทย จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ด้วย คิดว่าต้องทำให้ครอบครัวเราประสบความสำเร็จแน่นอน “ นางสุนิสา กล่าว
หลังจากตัดสินใจแล้วนางสุนิสาจึงได้ติดต่อกับ บริษัท ฟัน อิง ลิช จำกัด เพื่อขอทำสัญญาแฟรนไชน์ โดยจะเปิดสาขาที่จังหวัดจันทบุรี และได้รับคำแนะนำอย่างดีเยี่ยมพร้อมพาไปชมสาขาตัวอย่าง ซึ่งขณะนั้นภาพที่เห็นคือ สาขาที่ดำเนินการอย่างสมบูรณ์แบบน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพียงแค่เริ่มต้นเสียค่าแฟรนไชน์จำนวน 390,000 บาท ก็ได้สัญญาแฟรนไชน์ระยะเวลา 5 ปี นั่นคือจุดเริ่มต้นของธุรกิจในครอบครัว
ทั้งนี้ หลังจากทำสัญญาไปแล้ว บริษัทฯก็ไม่ได้ให้การสนับสนุนหรือช่วยเหลือแก่คู่สัญญาตามที่โฆษณาและให้ข้อมูลไว้ก่อนหน้าเลย ไม่มีความพร้อมที่จะเปิดดำเนินการเนื่องจากทางบริษัทฯยังไม่สามารถจัดหาครูสอนภาษาผู้เชี่ยวชาญให้ได้ รวมทั้งเรื่องหลักสูตรโปรแกรมการเรียนการสอนที่ไม่ได้มาตรฐานตามที่อ้างไว้ อีกทั้งยังพบว่ากรณีตำราการเรียนการสอนที่มีก็ด้อยคุณภาพพบข้อผิดพลาดหลายอย่าง ราคาตำราที่ให้สาขาจำหน่ายก็แพงกว่าราคาท้องตลาดทั้งที่เป็นตำราชนิดเดียวกัน ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่เกิดเฉพาะสาขาจันทบุรีที่เดียว แต่พบว่าทั้ง 4 สาขาที่ร้องเรียนเข้ามาประสบปัญหาคล้ายคลึงกัน โดยที่บริษัทฯไม่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือสนับสนุนเพื่อแก้ไขปัญหา ทั้งนี้ผู้เสียหายพยายามติดต่อกับทางบริษัทฯ มาโดยตลอด แต่ไม่มีการตอบรับใดๆ
จนเมื่อเดือนเมษายน 2551 ที่ผ่านมา ทางมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้จัดเวทีเจรจาโดยเชิญผู้เสียหายทั้ง 4 รายร่วมกับผู้บริหารของบริษัทฯ เพื่อเจรจาไกล่เกลี่ย หาทางออกร่วมกัน แต่ไม่สามารถหาข้อยุติได้เนื่องจากบริษัทอ้างว่า ไม่ทราบถึงความต้องการของผู้ร้อง ว่าต้องการอะไร ทางผู้ร้องแจ้งความประสงค์ว่าต้องการบอกเลิกสัญญาและขอเงินคืนเท่านั้น ข้อสรุปในเวทีเจรจาคือ ทางบริษัทจะรับข้อเสนอของผู้ร้องไปพิจารณา 30 วัน ซึ่งต่อมาภายหลังมีจดหมายแจ้งว่า ทางบริษัทไม่ประสงค์จะเจรจาอีกต่อไป เหตุผลเพราะผู้บริโภคผิดสัญญาเอง โดยที่ไม่ได้ชี้แจงว่าผิดสัญญาเรื่องใด
" สิ่งที่พวกเราต้องการคือความรับผิดชอบจาก บริษัท ฟัน อิง ลิช จำกัด ในฐานะผู้ประกอบการที่ไม่ปฏิบัติตามสัญญา ทำให้พวกเราต้องเสียโอกาสและเสียชื่อเสียงในการประกอบธุรกิจ เราต้องทุ่มเทเงินทั้งชีวิตเพื่อทำธุรกิจนี้ แต่สิ่งที่ได้รับคืนจากบริษัทฯ คือการหลอกลวงที่ไม่เคยคิดจะแสดงความรับผิดชอบอะไรเลย และอยากเตือนผู้บริโภครายอื่นที่คิดจะทำธุรกิจแฟรนไชน์ ควรต้องหาข้อมูลให้ชัดเจนที่สุดเสียก่อน อย่าเห็นแต่เพียงการโฆษณาชวนเชื่อ หรือรางวัลที่ได้รับรองจากหน่วยงานรัฐเท่านั้น " นางสุนิสา กล่าว
ด้านนายทวิพล เสือรอด สาขาราชบุรี กล่าวว่า เมื่อประสบปัญหาก็ได้ยื่นหนังสือเพื่อเรียกร้องกับทางบริษัทฯ โดยขอให้มีการแก้ไขในส่วนของสัญญาที่จะต้องรับผิดชอบในหลายเรื่องเช่น การจัดหาครูผู้สอน การขอลดเงินที่ต้องจ่ายให้บริษัทฯ เหลือแค่ 10% เป็นต้น แต่ทางบริษัทฯ ก็ไม่สามารถดำเนินการตามที่ร้องขอไปได้ จึงเข้ามาร้องเรียนกับมูลนิธิฯ ซึ่งก็ได้จัดให้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยขึ้น แต่ก็ไม่สามารถหาข้อยุติได้
“เราต้องการความรับผิดชอบจากทางบริษัทเพราะทำให้เสียโอกาสการประกอบอาชีพ และเสียชื่อเสียงในการประกอบธุรกิจ ทั้งยังต้องเสียเงินในจำนวนมากแต่กลับไม่ได้รับการใยดี จึงอยากขอยกเลิกสัญญา และให้บริษัทรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งหากยังนิ่งเฉยก็จะดำเนินการฟ้องร้องทางกฎหมายต่อไป” นายทวิพล กล่าว