ก.คลัง ออกมาตรการด่วน ร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ 8 แห่ง อย่างเอสเอ็มอีแบงก์ ช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยประสบอุทกภัยน้ำท่วม
นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากปัญหาอุทกภัยที่เกิดขึ้นหลายจังหวัดของประเทศไทย และมีผู้ได้รับความเสียหายทั้งในด้านพื้นที่เกษตรกรรม การประกอบอาชีพ และที่อยู่อาศัย เป็นจำนวนมาก กระทรวงการคลังจึงร่วมกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ทั้ง 8 แห่ง เตรียมมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัย
โดยธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) จะให้ลูกหนี้ได้รับการพักชำระหนี้เงินต้น และหรือเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยไม่เกิน 12 เดือน ตามประเภทธุรกิจ วงเงินฉุกเฉินเพื่อฟื้นฟูกิจการตามความเสียหายจริง แต่ไม่เกินรายละ 500,000 บาท วงเงินรวม 200 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ย MLR ระยะเวลา 5 ปี Grace Period ไม่เกิน 1 ปี
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) จากการสำรวจของธนาคารฯ ในเบื้องต้นยังไม่พบลูกค้าได้รับความเสียหายจากอุทกภัยครั้งนี้ อย่างไรก็ดี ธนาคารฯ เตรียมวงเงินหมุนเวียน (Working Capital) 3,000 ล้านบาท เพื่อให้ลูกค้ามีสภาพคล่องในการผลิตสินค้าอย่างต่อเนื่อง และจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือเพิ่มเติม ดังนี้ พิจารณาอัตราดอกเบี้ยผ่อนปรนให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ โดยลดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 จากดอกเบี้ยที่ได้รับอยู่ในปัจจุบัน เป็นเวลา 6 เดือน พิจารณาให้ลูกค้าปลอดชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 6 เดือน
อีกทั้ง ให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ลดค่าธรรมเนียมค้ำประกันสำหรับลูกค้าเดิมของ บสย. ที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย และถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมต่ออายุการค้ำประกัน ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2551 - 31 มี.ค. 2552 โดยลดค่าธรรมเนียมจากอัตราร้อยละ 1.75 ต่อปี เหลืออัตราร้อยละ 1.00 ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 เดือน ส่วน 6 เดือนหลัง และปีต่อไป เรียกเก็บในอัตราร้อยละ 1.75 ต่อปี
มาตรการการให้ความร่วมมือกับสถาบันการเงินที่ลูกค้าได้รับค้ำประกันสินเชื่อจาก บสย. ในการผ่อนปรนเรื่องการพักชำระหนี้ ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย รวมทั้งการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้กิจการสามารถดำเนินต่อไปตามปกติ
มาตรการค้ำประกันสินเชื่อเพิ่ม เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย และจะขอสินเชื่อเพิ่มเติมจากสถาบันการเงิน เพื่อใช้ฟื้นฟูกิจการ โดยจะคิดค่าธรรมเนียม 6 เดือนแรก ในอัตราพิเศษร้อยละ 1.00 ต่อปี ของวงเงินค้ำประกัน สำหรับ 6 เดือนหลัง และปีต่อไป เรียกเก็บในอัตราร้อยละ 1.75 ต่อปี ตามเดิม และกำหนดวงเงินค้ำประกันสูงสุดต่อรายไม่เกิน 2,000,000 บาท
นอกจากนั้น ในส่วนธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย จากการสำรวจของธนาคารฯ ในเบื้องต้นยังไม่พบลูกค้าได้รับความเสียหายจากอุทกภัยครั้งนี้ อย่างไรก็ดี หากลูกค้าเดิมต้องการความช่วยเหลือ ธนาคารฯ จะพิจารณาดังนี้ ลดจำนวนเงินผ่อนชำระในระยะแรก 1 ปี ลดจำนวนเงินผ่อนชำระและขยายระยะเวลาการผ่อนชำระ ลดอัตรากำไรจากร้อยละ 8-9 เหลือร้อยละ 6 ในปีแรก และพิจารณาเป็นรายปีในปีต่อไป
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยอย่างร้ายแรง โดยได้รับความเสียหายไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ธ.ก.ส.จะให้ความช่วยเหลือ โดยในส่วนของหนี้เงินกู้เดิมที่มีอยู่ก่อนประสบภัย ให้ความช่วยเหลือโดยขยายเวลาการชำระหนี้เงินกู้เป็นเวลา 3 ปี และงดคิดดอกเบี้ยเงินกู้เป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปีบัญชี 2551-2553 นอกจากนี้ ยังให้เงินกู้ใหม่เพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต ให้ความช่วยเหลือโดยให้เงินกู้รายละไม่เกิน 100,000 บาท และลดดอกเบี้ยเงินกู้จากอัตราปกติที่ธนาคารฯ เรียกเก็บจากเกษตรกรลูกค้า ร้อยละ 3 ต่อปี เป็นเวลาไม่เกิน 3 ปี พร้อมกับกำหนดชำระหนี้ตามความสามารถของลูกค้า และลดหย่อนหลักประกันการกู้เงิน สำหรับเกษตรกรที่เสียชีวิต ธ.ก.ส.จะตัดจำหน่ายจากบัญชี
ธนาคารออมสิน จะช่วยลูกค้าเดิมและไม่มีหนี้ค้างชำระในงวดปัจจุบันที่เป็นลูกค้าสินเชื่อเคหะ สินเชื่อธุรกิจห้องแถว สินเชื่อธนาคารประชาชน สินเชื่อเพื่อพัฒนาชนบท (สพช.) สินเชื่อเพื่อพัฒนาชนบทสำหรับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สินเชื่อเพื่อพัฒนาชนบทโครงการ SML สินเชื่อเพื่อซ่อมแซมหรือต่อเติมที่อยู่อาศัยของสมาชิกองค์กรชุมชน สินเชื่อธนาคารประชาชนแบบกลุ่ม และสินเชื่อเคหะเพื่อสมาชิก สพช. ให้ความช่วยเหลือโดยให้เวลาปลอดชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลาไม่เกิน 6 เดือน กรณีมีผลกระทบรุนแรงให้ปลอดชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยได้เป็นเวลาไม่เกิน 1 ปี พร้อมกันนี้ จะขยายระยะเวลาชำระหนี้ได้ไม่เกิน 6 เดือน กรณีมีผลกระทบรุนแรงให้ขยายระยะเวลาการชำระหนี้ได้เป็นเวลาไม่เกิน 1 ปี ทั้งนี้ ยกเว้นสินเชื่อเคหะ
ด้านลูกค้าสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 1 ต่อเดือน เป็นร้อยละ 0.50 ต่อเดือน ประชาชนทั่วไปทั้งที่เป็นลูกค้าสินเชื่อเดิมและลูกค้าสินเชื่อใหม่ ให้ความช่วยเหลือดังนี้ สินเชื่อรายย่อยอเนกประสงค์ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้น วงเงินกู้ไม่เกิน 5,000 บาท โดยใช้บุคคลค้ำประกัน ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากร้อยละ 1 ต่อเดือน เป็นร้อยละ 0.50 ต่อเดือน ระยะเวลาชำระคืนไม่เกิน 18 เดือน
นอกจากนี้ ธนาคารออมสิน ยังให้สินเชื่อบำรุงขวัญ เพื่อนำไปซ่อมแซมทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหาย (วงเงินกู้ตามความจำเป็นและเหมาะสม) โดยวงเงินกู้ไม่เกินรายละ 100,000 บาท โดยใช้บุคคลค้ำประกัน และหรือหลักทรัพย์ค้ำประกัน อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ MLR-1.75% ต่อปี
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ มีมาตรการช่วยเหลือดังนี้ กรณีลูกหนี้เดิม ให้ความช่วยเหลือโดยลดภาระหนี้ที่ผ่อนชำระ ดังนี้ ปีที่ 1 เดือนที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 เดือนที่ 4-6 คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับร้อยละ 1.00 ต่อปี และผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ย เดือนที่ 7-12 คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-2% ต่อปี ปีที่ 2-3 คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-2% ต่อปี ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี
ส่วนที่กู้เพิ่มเพื่อต่อเติมซ่อมแซมอาคาร ปีที่ 1 เดือนที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 เดือนที่ 4-12 คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-3% ต่อปี ปีที่ 2-3 คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-2% ต่อปี ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ใหม่ ปีที่ 1 เดือนที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 เดือนที่ 4-12 คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-2% ต่อปี ปีที่ 2-3 คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-2% ต่อปี ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี
บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย ให้พักชำระหนี้ไม่เกิน 3 เดือน แก่ลูกค้าผู้ได้รับความเสียหายจริงจากสถานการณ์อุทกภัยครั้งนี้
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง และสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 8 แห่ง จะกำกับดูแลให้การดำเนินมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวเป็นไปตามความต้องการของผู้เดือดร้อนอย่างแท้จริง ขณะเดียวกัน ยังคงไว้ซึ่งความมั่นคงทางการเงินของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ