สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ร้องรัฐฯ เร่งสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติ พร้อมกำหนดนโยบายดูแลรากหญ้าและเอสเอ็มอีอย่างเร่งด่วน แนะภายใน 6 เดือน ต้องคลอดนโยบายที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ชี้วิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งปผลดอลลาร์อ่อน กระทบผู้ส่งออกไทยได้เงินบาทน้อยลง
นายสุชาติ จันทรานาคราช ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สภาผู้ส่งออกฯ) เปิดเผยถึง การปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี ว่า ทางสภาฯ ต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนในประเทศและต่างประเทศเร็วที่สุด พร้อมทั้งดูแลประชาชนระดับรากหญ้าและธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ให้อยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ทั้งนี้ รัฐบาลจะต้องออกนโยบายภายใน 1 เดือน โดย 6 เดือนต้องเห็นผลเป็นรูปธรรม พร้อมกันนี้ต้องแก้ไขปัญหาการชุมนุมทางการเมือง ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และขณะนี้เป็นเวลาเหมาะที่สุดที่จะเปิดใจคุยกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะการที่ยอมรับ ส.ส. มาจากการเลือกตั้ง ถือเป็นการปลดล็อกทางการเมือง เหมือนก้าวหน้าไปสี่ก้าว ซึ่งนักธุรกิจก็รับได้ อย่าดูแต่ปัญหาการเมือง ควรหันมาดูแลปัญหาเศรษฐกิจบ้าง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยที่เติบโตมาได้ตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณล้วนเป็นการขับเคลื่อนของภาคเอกชน ซึ่งจีดีพีปีนี้หากเติบโตร้อยละ 4.5-5 ก็พอใจแล้ว
ทั้งนี้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจจากปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐ ซึ่งขณะนี้เกิดความไม่แน่นอนว่าสภาคองเกรสจะรับรองมติของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะเข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินหรือไม่ เนื่องจากมีความเห็นว่าเงินจำนวน 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2 ล้านล้านบาท น่าจะนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ติดจำนองที่ดินจะดีกว่าหรือไม่ ประกอบกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐแต่ละคนก็มีนโยบายแตกต่างกัน ดังนั้น ผลกระทบต่อภาคส่งออกไทยมีแน่นอน แต่ยังไม่สามารถประเมินความรุนแรงได้ เพราะยังมีหนี้เสียที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในสหรัฐฯ
โดยคาดว่าผลพวงจากสถาบันการเงินในสหรัฐจะทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ทำให้คำสั่งซื้อสินค้าก็จะลดลง ผู้ส่งออกไทยอาจจะได้รับเงินบาทน้อยลง จาก 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เหลือ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีสาเหตุมาจากดอลลาร์อ่อนค่า อย่างไรก็ตาม ถ้าค่าเงินในภูมิภาคแข็งค่าเท่ากันประเทศที่ได้เปรียบก็คือประเทศที่มีความพร้อมมากที่สุด
ทั้งนี้ จากปัญหาเศรษฐกิจภายในและเงินดอลลาร์อ่อนค่า คาดว่าจะทำให้ความสามารถในการซื้อของสหรัฐ ลดลงร้อยละ 30 กระทบยอดส่งออกไปสหรัฐร้อยละ 4 คิดเป็นมูลค่าส่งออกไปสหรัฐประมาณ 20,000 ล้านบาท ดังนั้น หากกระทบไปยุโรปและประเทศอื่น ก็คาดว่าจะทำให้การส่งออกของไทยลดลงมากกว่านี้ จึงเชื่อว่าการส่งออกไทยในปี 2552 จะเติบโตเพียงร้อยละ 12-15 ขณะที่ประเทศไทยยังคงนำเข้าพลังงานและสินค้าทุนอื่น ๆ บวกกับรายจ่ายของรัฐบาล รวมกันแล้วจะทำให้ไทยติดลบจนขาดดุลการค้าและมีปัญหาทุนสำรองประเทศลดลง
นายสุชาติ จันทรานาคราช ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สภาผู้ส่งออกฯ) เปิดเผยถึง การปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี ว่า ทางสภาฯ ต้องการเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนในประเทศและต่างประเทศเร็วที่สุด พร้อมทั้งดูแลประชาชนระดับรากหญ้าและธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ให้อยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ทั้งนี้ รัฐบาลจะต้องออกนโยบายภายใน 1 เดือน โดย 6 เดือนต้องเห็นผลเป็นรูปธรรม พร้อมกันนี้ต้องแก้ไขปัญหาการชุมนุมทางการเมือง ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และขณะนี้เป็นเวลาเหมาะที่สุดที่จะเปิดใจคุยกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะการที่ยอมรับ ส.ส. มาจากการเลือกตั้ง ถือเป็นการปลดล็อกทางการเมือง เหมือนก้าวหน้าไปสี่ก้าว ซึ่งนักธุรกิจก็รับได้ อย่าดูแต่ปัญหาการเมือง ควรหันมาดูแลปัญหาเศรษฐกิจบ้าง อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยที่เติบโตมาได้ตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณล้วนเป็นการขับเคลื่อนของภาคเอกชน ซึ่งจีดีพีปีนี้หากเติบโตร้อยละ 4.5-5 ก็พอใจแล้ว
ทั้งนี้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจจากปัญหาสถาบันการเงินในสหรัฐ ซึ่งขณะนี้เกิดความไม่แน่นอนว่าสภาคองเกรสจะรับรองมติของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่จะเข้าช่วยเหลือสถาบันการเงินหรือไม่ เนื่องจากมีความเห็นว่าเงินจำนวน 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2 ล้านล้านบาท น่าจะนำไปช่วยเหลือประชาชนที่ติดจำนองที่ดินจะดีกว่าหรือไม่ ประกอบกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐแต่ละคนก็มีนโยบายแตกต่างกัน ดังนั้น ผลกระทบต่อภาคส่งออกไทยมีแน่นอน แต่ยังไม่สามารถประเมินความรุนแรงได้ เพราะยังมีหนี้เสียที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในสหรัฐฯ
โดยคาดว่าผลพวงจากสถาบันการเงินในสหรัฐจะทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ทำให้คำสั่งซื้อสินค้าก็จะลดลง ผู้ส่งออกไทยอาจจะได้รับเงินบาทน้อยลง จาก 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เหลือ 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมีสาเหตุมาจากดอลลาร์อ่อนค่า อย่างไรก็ตาม ถ้าค่าเงินในภูมิภาคแข็งค่าเท่ากันประเทศที่ได้เปรียบก็คือประเทศที่มีความพร้อมมากที่สุด
ทั้งนี้ จากปัญหาเศรษฐกิจภายในและเงินดอลลาร์อ่อนค่า คาดว่าจะทำให้ความสามารถในการซื้อของสหรัฐ ลดลงร้อยละ 30 กระทบยอดส่งออกไปสหรัฐร้อยละ 4 คิดเป็นมูลค่าส่งออกไปสหรัฐประมาณ 20,000 ล้านบาท ดังนั้น หากกระทบไปยุโรปและประเทศอื่น ก็คาดว่าจะทำให้การส่งออกของไทยลดลงมากกว่านี้ จึงเชื่อว่าการส่งออกไทยในปี 2552 จะเติบโตเพียงร้อยละ 12-15 ขณะที่ประเทศไทยยังคงนำเข้าพลังงานและสินค้าทุนอื่น ๆ บวกกับรายจ่ายของรัฐบาล รวมกันแล้วจะทำให้ไทยติดลบจนขาดดุลการค้าและมีปัญหาทุนสำรองประเทศลดลง